วิกฤติโควิด-19 เป็นเสมือนคลื่นลูกใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์และเศรษฐกิจทั่วทุกมุมโลก แน่นอนว่าประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน หลายภาคอุตสาหกรรมก็ต้องปรับตัว และพยุงตัวเองเอาชีวิตรอดต่อการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ธุรกิจสามารถไปต่อได้ แต่ไม่ใช่กับธุรกิจอีคอมเมิร์ชและโลจิสติกส์ ที่นับวันยิ่งโตสวนกระแสอย่างก้าวกระโดดท่ามกลางวิกฤติโลก และที่น่าแปลกใจมากที่สุด คือ ‘ธุรกิจแฟรนไชส์’ ที่มาทั้งในรูปแบบองค์กรใหญ่และบริษัทย่อยกลับกลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก
ทำไมธุรกิจแฟรนไชน์ถึงเป็นดาวรุ่งที่น่าจับตามอง?
ความจริงแล้วประเทศไทยเริ่มมีการทำธุรกิจแฟรนไชส์มาตั้งแต่ปี 2548 หรือเมื่อประมาณ 15 ปีที่ผ่านมา ซึ่งธุรกิจแฟรนไชส์ถือเป็นตัวเลือกที่น่าจับตามองของนักลงทุน เพราะไม่ต้องเสียเวลาปั้นแบรนด์ขึ้นมาใหม่ และยิ่งถ้าเป็นแบรนด์ติดตลาดยิ่งเป็นเรื่องง่ายต่อการกู้เงินลงทุนจากธนาคารมาทำธุรกิจ แถมผู้ประกอบการไม่ต้องเสียเวลาลงมาคลุกคลีมาก เพราะมีรูปแบบการทำงานเป็นระบบที่ถูกเซ็ตไว้แล้ว ทำให้นักลงทุนสามารถเดินหน้าธุรกิจต่อได้ทันที
จากรายงานพบว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จำนวนธุรกิจแฟรนไชส์เติบโตขึ้นเฉลี่ยปีละ 20% และในปี 2562 มีมูลค่าทางการตลาดอยู่ที่ประมาณ 2.5 แสนล้านบาท สำหรับปี 2563 แม้โควิดจะเข้ามาทำให้หลายอุตสาหกรรมต้องชะงัก แต่มีการคาดการณ์ว่าธุรกิจแฟรนไชส์จะยังคงเติบโตได้ดีไม่ต่ำกว่า 10% ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากอัตราคนว่างงานในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ที่มีตัวเลขสูงถึงหลักแสนคนจากการปิดตัวของอุตสาหกรรม บริษัท โรงงาน และห้างสรรพสินค้า เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทำให้คนที่มีเงินลงทุนเริ่มหันมาทำธุรกิจเป็นนายตัวเองมากยิ่งขึ้น โดยเริ่มต้นจากการเปิดธุรกิจสำเร็จรูปอย่างแฟรนไชส์นั่นเอง
กลุ่มธุรกิจรูปแบบแฟรนไชส์ไหนบ้างที่จะมาแรงหลังจากโควิด-19?
ข้อมูลจากนางสาวสมจิตร ลิขิตสถาพร นายกสมาคมเอสเอ็มอี และแฟรนไชส์ไทย ที่เคยให้สัมภาษณ์ในประเด็นทิศทางแฟรนไชส์ปี 63 กล่าวว่า “กลุ่มธุรกิจบริการมีโอกาสที่ดี เพราะมีผู้เล่นในตลาดน้อย โดยเฉพาะกับกลุ่มธุรกิจบริการใหม่ ได้แก่ ธุรกิจบริการขนส่งพัสดุด่วน ธุรกิจดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ บริการทำความสะอาด เพราะไลฟ์สไตล์คนเปลี่ยนไปจากออฟไลน์สู่ออนไลน์มากขึ้น สอดรับกับการเข้ามาของเทคโนโลยี โดยมีการเน้นทำการตลาดบนช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น ตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภควิถีชีวิตใหม่ยุค New Normal”
‘ธุรกิจขนส่งพัสดุด่วน’ แฟรนไชส์ที่ควรค่าแก่การลงทุน
ทิศทางธุรกิจอีคอมเมิร์ชไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีแนวโน้มเติบโตขึ้นทุกปี ทั้งก่อนวิกฤติโควิดจนถึงปัจจุบัน โดยมีการคาดการณ์ว่าในปี 2563 ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยจะเติบโต 35% จากปีก่อนหน้า มูลค่าแตะ 220,000 ล้านบาท (ข้อมูลจาก Priceza, 2563) ซึ่งจะเห็นได้ว่าสถานการณ์โควิดเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาช้อปปิ้งออนไลน์มากขึ้น และเมื่อธุรกิจอีคอมเมิร์ชขยายตัว ธุรกิจที่จะโตตามมานั่นก็คือ ธุรกิจขนส่งพัสดุด่วน ซึ่งสอดคล้องกับรายงานมูลค่าตลาดโลจิสติกส์ที่ผ่านมา โดย SCB EIC ประเมินมูลค่าทั้งตลาดอยู่ที่ 6.6 หมื่นล้านบาท เติบโต 35% จากปีก่อน
ซึ่งแม้ว่าหลังจากที่สถานการณ์โควิดในประเทศไทยจะเริ่มทยอยคลี่คลายลงไปบ้างแล้ว แต่คนไทยก็จะยังคงช้อปออนไลน์ต่อ เพราะโควิดกระตุ้นให้ผู้ที่ไม่เคยซื้อของทางออนไลน์ หันมาปรับพฤติกรรมสั่งซื้ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และหากได้รับประสบการณ์ที่ดี ก็จะเป็นการเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ได้อีกเยอะมาก และจึงเป็นโอกาสสำคัญของเหตุผลที่ว่า แฟรนไชส์ ‘ธุรกิจขนส่งพัสดุด่วน’ เป็นเทรนด์ธุรกิจที่ควรค่าแก่การลงทุนในยุคนี้
BEST Express โอกาสก้อนโตของผู้ที่สนใจลงทุนธุรกิจแฟรนไชส์ขนส่งพัสดุด่วน
BEST Express (เบสท์ เอ็กซ์เพรส) หนึ่งในแบรนด์ผู้ให้บริการ รับ-ส่ง พัสดุด่วนทั่วไทย ไปไหน ไปกัน Everywhere, with you ของบริษัท เบสท์ โลจิสติกส์ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ภายใต้การดำเนินการของ BEST Inc. (เบสท์ อิงช) บริษัทแม่ ผู้นำด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนอัจฉริยะแบบครบวงจร หนึ่งในสามธุรกิจโลจิสติกส์ยักษ์ใหญ่จากประเทศจีน ที่มีทั้งหมด 8 กลุ่มธุรกิจใหญ่ทั้งในประเทศจีนและทั่วโลก อาทิ เบสท์ ซัพพลายเชน (BEST Supply Chain), เบสท์ เอ็กซ์เพรส (BEST Express), เบสท์ เฟรท (BEST Freight), เบสท์ คลาวน์ (BEST Cloud), เบสท์ แคปปิตอล (BEST Capital), เบสท์ ยู-คาโก้ (BEST U-cargo), เบสท์ สโตร์ (BEST Store) และเบสท์ โกลบอล (BEST Global) และ BEST เป็นผู้ประสบความสำเร็จด้วยเทคนิคการสร้างเครือข่ายที่เข้มแข็ง พร้อมทั้งฝึกฝนและลงทุนกับบุคคลที่มีความสามารถสูง ธุรกิจของบริษัทฯ จึงเติบโตได้อย่างรวดเร็วภายในระยะเวลา 10 ปี ในฐานะผู้นำในธุรกิจขนส่งยักษ์ใหญ่แดนมังกร โดยปัจจุบัน BEST เปิดให้บริการแล้วกว่า 20 ประเทศทั่วโลก
ด้วยการเติบโตของธุรกิจ BEST อย่างไม่หยุดยั้งและด้วยมูลค่าตลาด E-Commerce ที่โตแบบก้าวกระโดดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้ BEST รุดหน้าขยายธุรกิจ BEST Express มาเปิดในประเทศไทย โดยเริ่มเปิดให้บริการธุรกิจขนส่งพัสดุด่วนทั่วไทยอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2562 ที่ผ่านมา และได้นำรูปแบบธุรกิจแฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จจากประเทศจีนเข้ามา ซึ่งนับเป็นแบรนด์ Express (เอ็กซ์เพรส) “เจ้าแรกในประเทศไทย” ที่ดำเนินธุรกิจรูปแบบแฟรนไชส์แบบ 100 เปอร์เซ็นต์ โดยแบ่งประเภทแฟรนไชส์ออกเป็น 4 ประเภท ดังต่อไปนี้
1. First Station (แฟรนไชส์หลัก: ขารับและขากระจายพัสดุ ดูแลรับผิดชอบทั้งจังหวัดหรือเขต อยู่ภายใต้การดูแลของ BEST สำนักงานใหญ่)
2. Sub Station (แฟรนไชส์รอง: ขารับและขากระจายพัสดุ ดูแลพื้นที่อำเภอและแขวง อยู่ภายใต้การดูแลของแฟรนไชส์หลัก)
3. Shop (ช้อป: รับพัสดุเพียงอย่างเดียว อยู่ภายใต้การดูแลของแฟรนไชส์หลัก)
4. Drop Point (จุดรับพัสดุ: อยู่ภายใต้การดูแลของแฟรนไชส์หลัก)
ปัจจุบัน BEST Express แฟรนไชส์ มีศูนย์บริการสาขา ทั้ง 4 ประเภท รวมทั้งหมด 500 สาขา ครอบคลุมอยู่ทั่วประเทศ โดยภายในสิ้นปีนี้จะขยายเพิ่มอีก 800 สาขา และจะขยายต่ออีก 2,000 สาขาในอีก 2 ปีข้างหน้า หรือในปี พ.ศ. 2565 ครอบครัวเบสท์มีความพร้อมด้วยความแข็งแกร่งของแฟรนไชส์และความเชี่ยวชาญชำนาญพื้นที่ในแต่ละท้องถิ่น ตลอดจนการบริหารจัดการเป็นเลิศ ทำให้ธุรกิจ BEST Express แบรนด์ขนส่งพัสดุด่วนทั่วไทย เติบโตอย่างก้าวกระโดดติดอันดับหนึ่งใน 5 ของแบรนด์ขนส่งพัสดุด่วนแถวหน้าของประเทศไทย ภายในระยะเวลา 1 ปี โดยมาพร้อมด้วยจุดเด่นในการให้บริการพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ทั้งกลุ่ม B2B B2C และกลุ่ม C2C ลูกค้าทั่วไป ในการส่งพัสดุกับ เจ้าแรก การให้บริการ “BEST Booking กดเรียก BEST Express เข้ารับพัสดุถึงหน้าบ้าน ฟรี! ไม่มีขั้นต่ำ ผ่าน BEST Application หรือ Line Official Account: : @BESTExpressTH” ตลอดจนมาพร้อมด้วยบริการสุดไฮเทคแจ้งเตือนสถานะพัสดุอัตโนมัติด้วยระบบ Automatic Tracking System ผ่าน Line Official Account สะดวกสบายเป็นมิตรต่อการเรียกใช้บริการ แถมยังมีบริการเก็บเงินปลายทาง COD 2% โอนไวภายใน 1 วัน (เฉพาะธนาคารกสิกรไทย) (ธนาคารอื่น ๆ 2 – 3 วันทำการ)
ทำไม BEST Express เป็นแฟรนไชส์ธุรกิจขนส่งที่น่าลงทุนที่สุดในปี 2020?
1. เงินทุนกว่า 5 พันล้าน กับ ระบบซัพพลายเชนอัจฉริยะ: เพื่อเข้ามาช่วยลดต้นทุน ประหยัดกำลังคนในการบริหาร ครอบคลุมแล้วกว่า 14 ประเทศ รวมถึงอังกฤษ สหรัฐอเมริกา เยอรมนี ญี่ปุ่น และไทย
2. บริษัทใหญ่หนุนหลัง Alibaba (อาลีบาบา), Foxconn (ฟ็อกซ์คอนน์) และ Cainiao (ไช่เหนี่ยว): ปัจจุบันมีผู้ร่วมลงทุนกว่า 20 บริษัทชั้นนำในจีน อย่างเช่น Alibaba และบริษัทผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่อย่าง Foxconn
3. โมเดลธุรกิจขนส่งที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในจีน: BEST มีจุดบริการขนส่งพัสดุในประเทศจีน มากกว่า 250,000 แห่ง ครอบคลุม 100% ในพื้นที่มณฑล และเขตเมือง
4. จดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) ปี 2017: ก่อตั้งโดย มร. จอห์นนี่ ชูว์ ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท จดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กด้วยทุนกว่า 183,000,000 USD ในปี 2017
5. โตเร็วที่สุด ขยายสาขาทั่วไทย ภายใน 6 เดือน: BEST เปิดโอกาสให้นักธุรกิจรุ่นใหม่ ลงทุนในธุรกิจขนส่งที่สร้างรายได้ ซึ่งเป็นแฟรนไชส์ที่มี อัตราการขยายสาขาเร็วที่สุดในไทย
6. Top 3 บริษัทขนส่งที่ใหญ่ที่สุดในจีน: ด้วยความสามารถในการวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีด้วยตัวเอง ทำให้เบสท์ติด Top 3 บริษัทขนส่งที่ใหญ่ที่สุดในจีน
ลงทุนเป็นแฟรนไชส์หลักกับ BEST Express ที่ให้มากกว่าความคุ้มค่า?
1.ลงทุนเป็นแฟรนไชส์หลัก (First station) จะได้รับเปอร์เซ็นต์ทั้งขารับและขาส่ง: เพราะไม่ว่าจะอยู่ฝั่งรับพัสดุ หรือจัดส่งพัสดุ BEST Express ก็ให้เปอร์เซ็นต์ทั้งสองทาง ต่างจากที่อื่นที่ให้แค่ฝั่งรับพัสดุอย่างเดียว
2. BEST Express ให้สิทธิ์ในการขายแฟรนไชส์ในพื้นที่ที่ดูแล: หากมีคนต้องการเปิด Shop หรือ Drop Point ในพื้นที่ที่ดูแล เจ้าของแฟรนไชส์หลักจะได้ค่าแฟรนไชส์เต็ม 100%
3. ตัวแทน BEST Express พร้อมเติบโตในระยะยาวตั้งแต่ 6 เดือน – 2 ปี: โดยระยะเวลาการเติบโตขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ด้านการบริหาร ความเข้าใจด้านขนส่ง, อีคอมเมิร์ช ความทุ่มเทและการให้เวลากับธุรกิจ
4. เครือข่ายนักลงทุน พร้อมพัฒนาธุรกิจ: โอกาสร่วมงานกับเครือข่ายนักลงทุน ช่วยพัฒนาธุรกิจโลจิสติกส์ครบวงจร ครอบคลุมทั้งไทย จีน และประเทศอื่น ๆ ใน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN)
5. การสนับสนุนด้านวิจัยและฐานข้อมูลเชิงลึก: เป็นส่วนหนึ่งกับ BEST Express แฟรนไชส์ มีบริการสนับสนุนด้านวิจัย และฐานข้อมูล ซึ่งเป็น Big Data ของเบสท์ กรุ๊ป (BEST Group)สำหรับผู้สนใจพร้อมเป็น Partner (พาร์ทเนอร์) ลงทุนเป็นแฟรนไชส์กับ BEST Express สามารถพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนได้ที่ Line Official Account โดยค้นหาคำว่า @BESTFSCENTER หรือหากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อได้ที่ 098 – 8166263, 098 – 8166798, 092 – 6688528