รมช.ศธ.เดินหน้าหลักสูตร “โค้ดดิ้ง” หนุนเด็กไทยเรียนภาษาที่ 3 พร้อมก้าวสู่ศตวรรษที่ 21

รมช.กระทรวงศึกษาธิการ เดินหน้านโยบายด้านการศึกษาเพื่อพัฒนาคนสู่ศตวรรษที่ 21 หนุนเด็กไทยต้องได้เรียนโค้ดดิ้ง (Coding) พร้อมพัฒนาหลักสูตรให้เป็นรูปธรรมให้ทันโลกดิจิทัลและเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

9 สิงหาคม 2562 : คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า หนึ่งในภารกิจสำคัญที่จะต้องเร่งดำเนินการสอดรับกับนโยบาย หลักที่รัฐบาลได้นำเสนอไว้ คือ การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ และการพัฒนาศักยภาพคนไทยทุกช่วงวัย และการเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21 ท่ามกลางพลวัตรที่เปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง โดยเป้าหมายอย่างแรกที่ตั้งใจจะผลักดัน ให้ประสบความสำเร็จคือ การเรียนภาษาคอมพิวเตอร์ หรือโค้ดดิ้ง (Coding) ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา เพื่อมุ่งหมายที่จะเสริมสร้างทักษะการใช้ชีวิตให้เป็นระบบ มีเหตุ มีผล และมุ่งหวังให้เยาวชนไทยใช้ชีวิตก้าว ทันโลกในศตวรรษที่ 21

“รัฐบาลให้ความสำคัญกับการเรียนรู้โค้ดดิ้ง (Coding) โดยกำหนดไว้ในนโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภา และกระทรวงศึกษาธิการก็มีนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนการสื่อสารภาษาต่างๆของเด็กไทย ทั้งภาษาไทย ภาษาต่างประเทศ ตลอดจนภาษาคอมพิวเตอร์ หรือโค้ดดิ้ง (Coding) ซึ่งเป็นทักษะภาษาใหม่ ที่จะใช้สื่อสารกับคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีในอนาคต ทำให้เข้าใจการทำงานของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) และหุ่นยนต์ สอดคล้องกับการเตรียมกำลังคนของประเทศ ให้มีทักษะเท่าทันโลกยุคดิจิทัล มีอาชีพ ตลอดจนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”

การสนับสนุนให้เด็กไทยจะต้องพูดได้อย่างน้อย 2 ภาษา คือ ภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่การเรียนภาษามักจะพูดถึงแต่ภาษาอังกฤษ ต่อมาจึงมีโครงการ English for all ที่เคยทดสอบ ทดลองไปแล้วตั้งแต่ชั้นอนุบาล จึงมองว่า ต้องการให้เด็กไทยได้เรียนเพิ่มขึ้นอีก 1 ภาษา คือ ภาษาคอมพิวเตอร์ หรือโค้ดดิ้ง (Coding) นั่นเอง ซึ่งเป็นทักษะใหม่ในยุคนี้ และเด็กสามารถที่จะเรียนรู้ได้ ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา เพื่อให้เกิดทักษะ ที่สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน หรือที่เราให้คำจำกัดความว่า “ Coding for all , All for coding เนื่องด้วยความมุ่งหวังอยากให้คนไทยทุกคน ได้มีทักษะ การโค้ดดิ้ง (Coding) ในโลกยุคดิจิทัล ที่มีการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นช่วงวัยไหน หรือสาขาอาชีพใด และทุกๆอย่างในชีวิต หรือเทคโนโลยีรอบตัวล้วนแล้วแต่สัมพันธ์กับการโค้ดดิ้ง (Coding) ทั้งนั้น ฉะนั้นการโค้ดดิ้ง (Coding) ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปสำหรับทุกคน ในการเพิ่มพูนทักษะและจับต้องได้ในยุคนี้ จึงเป็นที่มาของแนวคิด เพื่อการประชาสัมพันธ์ผ่านสโลแกน โค้ดดิ้ง ง่ายกว่าที่คิด พิชิตยุคดิจิทอล”

คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยต่อว่า จะเริ่มนำร่องสอนภาษาโค้ดดิ้ง(Coding) ในเดือนพฤศจิกายนนี้เลย โดยจะมีการอบรมครูในการนำสอนโค้ดดิ้งจำนวน 1000 คน ในเดือนตุลาคมนี้ พอเปิดเทอมในเดือนพฤศจิกายน ก็สามารถสอนได้เลย เพราะครูเหล่านี้มีพื้นฐานอยู่แล้วในการสอนโค้ดดิ้ง ถือเป็นโชคดีของประเทศที่มีครูที่มีพื้นฐานเหล่านี้อยู่เป็นจำนวนมาก โดยกระทรวงศึกษาธิการพร้อมที่จะขับเคลื่อนโค้ดดิ้ง (Coding) ทั้งในเรื่องของอุปกรณ์ และบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญจากสำนักงานส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)ที่สามารถอบรมให้กับครู วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่สมัครใจและมีความพร้อมจะเรียนรู้เรื่องโค้ดดิ้ง (Coding) ซึ่งหากดำเนินการอย่างต่อเนื่อง จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเรียนรู้โค้ดดิ้ง (Coding) ของเด็กในพื้นที่ห่างไกลกับเด็ก ในเมืองอีกด้วย

ซึ่งในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 จะเป็นการเรียนการสอนที่ไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ เรียกว่า “Upplugged Coding” และถ้ามีพื้นฐานอย่างมีระบบต่อไปก็สามารถสื่อสารกับเครื่องได้ในการเรียนระดับต่อไป ไม่ใช่แค่ประเทศไทยที่เล็งเห็นความสำคัญในเรื่องการสอนโค้ดดิ้ง (Coding) เท่านั้น ขณะนี้จะเห็นได้ว่า ประเทศญี่ปุ่นได้ประกาศให้โคดดิ้ง (Coding) เป็นนโยบายสำคัญของชาติ รวมทั้งกำหนดให้นักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาทั่วประเทศเรียนภาษาโค้ดดิ้ง (Coding)  ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นไป เช่นเดียวกับจีน ที่ประกาศให้การจัดการเรียนการสอนโค้ดดิ้ง (Coding) เป็นนโยบายสำคัญของประเทศเช่นกัน

รมช.ศธ. กล่าวเพิ่มเติมว่า คำว่า โค้ดดิ้ง (Coding) ไม่ได้พูดถึงเพียงแค่การป้อนชุดคำสั่งเท่านั้น แต่โค้ดดิ้ง (Coding) เป็นสิ่งที่จะทำให้เด็กไทยมีทักษะชีวิตรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ C-Creative Thinking คือความคิดสร้างสรรค์ ที่เราไม่อยากปล่อยให้ความคิดสร้างสรรค์ของเด็กไทยถูกปิดกั้นจาก ข้อจำกัดทางการศึกษาด้านเทคโนโลยีโค้ดดิ้ง (Coding) จะเป็นเครื่องมือสำคัญในโลกยุคดิจิตอล ที่จะรังสรรค์ไอเดียต่างๆ ให้เกิดขึ้นได้จริงกับเด็กไทยและคนไทยทุกๆคน และอยากให้เด็กไทยมี O-Organized Thinking คือการส่งเสริมให้เด็กไทย มีความคิดที่เป็นระบบระเบียบ และมีตรรกะวิเคราะห์สิ่งต่างๆที่อยู่ในชีวิตประจำวัน  รู้จักคิดที่จะแก้ปัญหาด้วยข้อจำกัดต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกยุคดิจิทัล พร้อมทั้ง D-Digital Literacy ความสามารถในการเข้าใจภาษาดิจิทัลก็มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ในแง่ของการที่จะเข้าใจเทคโนโลยี ได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้นผ่านภาษาคอมพิวเตอร์ ความเข้าใจภาษาดิจิทัลจึงเป็นหนึ่งสิ่งสำคัญที่เป็นเป้าหมายด้านการศึกษาของเด็กไทย ซึ่งความคิดสร้างสรรค์ ความคิดที่เป็นระบบ และความเข้าใจในภาษาดิจิทัล 3 สิ่งนี้ จะส่งเสริมให้เกิด I-Innovation หรือนวัตกรรม ที่จะนำไปใช้ได้จริง และเกิดประโยชน์แก่คนหมู่มาก สิ่งเหล่านี้เองจะทำให้ประเทศไทยมีนวัตกรหน้าใหม่ที่สามารถผลิตนวัตกรรมที่จะเปลี่ยนโลกได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นบุคลากรจากสาขาอาชีพไหนก็ตาม แต่นวัตกรรมจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่มีซึ่งความคิดที่สร้างสรรค์เป็นระบบ และเข้าใจในภาษาดิจิทัล

ทั้งนี้ นวัตกรรมจะทำให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในการริเริ่มสิ่งใหม่ๆตามนิยามของคำว่า N-Newness คือ การสนับสนุนให้คนไทยมีความคิดริเริ่มในการทำสิ่งต่างๆอย่างไม่รอช้า การริเริ่มจะทำให้เกิดความสดใหม่ ทั้งด้านความรู้ ความเข้าใจในเทคโนโลยี ประเทศไทยจะไม่ได้เป็นแค่ผู้ตามแต่เรามุ่งหวังการเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ การเรียนรู้โค้ดดิ้ง (Coding) ถือเป็นความสดใหม่ที่ทางเราอยากจะริเริ่มเช่นกัน เพื่อเตรียมให้คนไทยเข้าสู่ยุคของ G-Globalization หรือยุคโลกาภิวัตน์ที่ทางเราได้ให้นิยามว่า เป็นยุคของศตวรรษที่ 21นับเป็นสิ่งที่เราทุกคนไม่อาจเลี่ยงได้ สิ่งที่จะเกิดขึ้น คือการผสานหรือควบรวมวัฒนธรรม รวมไปถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารต่างๆผ่านโลกของเทคโนโลยี เป็นสิ่งที่คนไทยทุกคน ต้องพร้อมที่จะปรับตัวเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี (Technology Disruption) และเปิดรับสิ่งใหม่ๆให้ทัดเทียมหรือก้าวไกลไปกว่านานาอารยประเทศ การเรียนโค้ดดิ้ง (Coding) จึงเปรียบเสมือน เป็นฐานความรู้ใหม่ที่จำเป็นสำหรับคนไทยโดยเฉพาะเด็กไทยในยุคดิจิทัล

อย่างไรก็ตาม การเรียนโค้ดดิ้ง (Coding) จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไปแล้วไม่ต้องห่วงว่าโค้ดดิ้ง (Coding) จะเป็นสิ่งที่ยากเกินสำหรับเด็กๆหรือบุคคลทั่วไป เพราะ…โค้ดดิ้ง ง่ายกว่าที่คิด พิชิตยุคดิจิตอล ทั้งนี้ภาษาโค้ดดิ้ง คือการคิดเป็นระบบ คิดแบบมีตรรกะ และมีระบบในการแก้ปัญหา แม้แต่เด็กจะไม่ได้เป็น นักวิทยาศาสตร์ หรือนักคอมพิวเตอร์ แต่ทุกคนต้องมีการวางแผนการจัดการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ในการดำเนินชีวิต ซึ่งเราจะนำสิ่งเหล่านี้ ไปใส่ในเด็กไทยให้ได้

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *