ไอบีเอ็ม (NYSE: IBM) และเอทีแอนด์ที ประกาศร่วมมือกันเพื่อช่วยองค์กรบริหารจัดการแอพพลิเคชันที่อยู่บนสภาพแวดล้อมไฮบริดคลาวด์ ด้วย IBM Cloud Satellite ที่พัฒนาขึ้นบน Red Hat OpenShift ผ่านเครือข่ายของเอทีแอนด์ที
การเอื้อให้ธุรกิจสามารถเชื่อมต่อกับสภาพแวดล้อมไฮบริดคลาวด์แบบเปิด ผ่านเทคโนโลยี Multi-access Edge Computing ของเอทีแอนด์ที ซึ่งเป็นเครือข่ายเซลลูลาร์ส่วนตัวที่มีเวลาแฝงต่ำ จะทำให้ไอบีเอ็มและเอทีแอนด์ทีสามารถช่วยธุรกิจในทุกอุตสาหกรรม ให้สามารถพัฒนาและส่งมอบบริการก้าวล้ำต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วทุกเมื่อที่ต้องการ โดยใช้การประมวลผล edge แบบ regional หรือ on-premise ที่มีระบบความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลสูง
IBM Cloud Satellite สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม Red Hat OpenShift ช่วยให้ลูกค้ามีความยืดหยุ่นในการนำแอพพลิเคชันของตนไปใช้บนสภาพแวดล้อมใดก็ตามที่มีข้อมูลของตนอยู่ ขณะเดียวกันยังได้รับประโยชน์จากความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นจากสถาปัตยกรรมไฮบริดคลาวด์แบบเปิดของไอบีเอ็มอีกด้วย
ความร่วมมือนี้จะนำสู่อะไร
องค์กรต่างๆ จะสามารถบริหารจัดการบริการต่างๆ ผ่านระบบคลาวด์หลายระบบและอุปกรณ์ edge หลายพันล้านเครื่อง จากแดชบอร์ดเพียงหนึ่งเดียว ภายใต้ระบบที่มีความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยในระดับสูง [1] IBM Cloud Satellite ซึ่งปัจจุบันเป็นรุ่นเบต้า จะช่วยปลดล็อกศักยภาพใหม่ๆ ของระบบคลาวด์แก่ลูกค้าองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการทำงานภาคสนามแบบเคลื่อนที่โดยใช้แอพพลิเคชันที่โฮสต์บนระบบคลาวด์ผ่านการเชื่อมต่อเครือข่าย 5G Edge ของเอทีแอนด์ที หรือโรงงานผลิตที่ต้องการความเป็นส่วนตัวเพิ่มขึ้น เวลาแฝงต่ำ และการควบคุมด้วย Private Cellular Networks หรือ Multi-access Edge Computing ของเอทีแอนด์ที
ประโยชน์ที่ธุรกิจจะได้รับก็คือ การนำบริการออกสู่ตลาดที่รวดเร็ว ประสบการณ์ของลูกค้าที่ดีขึ้น การบริหารจัดการแบบรวมศูนย์ และความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นจากความสามารถในการเข้ารหัสขั้นสูงของไอบีเอ็ม นอกจากนี้ ไอบีเอ็มจะนำความสามารถด้าน AI มาใช้ผ่าน IBM Watson เพื่อส่งมอบมุมมองเชิงลึกที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นให้กับลูกค้าในเวลาอันรวดเร็วเกือบเรียลไทม์ โดยประมวลผลมาจากข้อมูลที่รวบรวมจากจุดที่ข้อมูลนั้นๆ เกิดขึ้น
เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างไร
“ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี 5G และ edge กำลังส่งผลกระทบต่อทุกๆ อุตสาหกรรม เพราะจะนำสู่ความคาดหวังในแง่การสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้กับผู้บริโภคและโอกาสใหม่ๆ ในการสร้างรายได้สำหรับธุรกิจ” นายโฮเวิร์ด โบวิลล์ รองประธานอาวุโสของไอบีเอ็มไฮบริดคลาวด์ กล่าว “เราร่วมมือกับเอทีแอนด์ทีเพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G และ edge ได้อย่างปลอดภัยในทุกสภาพแวดล้อม ผ่านแพลตฟอร์มไฮบริดคลาวด์แบบเปิดที่ปลอดภัยของไอบีเอ็ม ความร่วมมือในครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มความเป็นไปได้ในการนำเทคโนโลยี 5G และ edge มาใช้ในองค์กร”
ธุรกิจต่างๆ กำลังมองถึงการนำกลยุทธ์ไฮบริดคลาวด์มาใช้ และการควบคุมในระดับสูงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับสภาพแวดล้อมการทำงานจากระยะไกล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันที่เทคโนโลยี 5G และการประมวลผลแบบ edge กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง เอทีแอนด์ทีและไอบีเอ็มได้ร่วมกันเสริมศักยภาพด้านความปลอดภัยให้กับโซลูชันนี้ เพื่อให้ลูกค้าที่ถึงแม้จะอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการกำกับดูแลสูงสุด ก็ยังสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G ได้ โดยความสามารถในการเข้ารหัสขั้นสูงของไอบีเอ็ม หมายความว่ามีเพียงลูกค้าเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงข้อมูลของตนได้ ขณะที่ไอบีเอ็มและเอทีแอนด์ทีไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นได้
การเติบโตของเทคโนโลยี 5G กับตลาดที่คาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 20 ล้านล้านบาทภายในปี 2569 กำลังส่งสัญญาณให้เห็นถึงก้าวย่างใหม่ของคลาวด์คอมพิวติง ที่เอื้อให้สามารถประมวลผลข้อมูลที่รวบรวมจากอุปกรณ์เคลื่อนที่หลายพันล้านเครื่องและเซ็นเซอร์ในระบบการผลิตของโรงงาน ได้จากจุดที่มีข้อมูลเหล่านั้นอยู่ ภายใต้เวลาแฝงที่ต่ำและประสิทธิภาพที่สูง
“AT&T ไม่เพียงแต่มีเครือข่าย 5G ที่เร็วที่สุด แต่ด้วยศักยภาพ edge computing ของเรา เราจะสามารถส่งมอบเครือข่ายที่ตอบสนองสูง ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับแอพพลิเคชัน mission-critical ขององค์กร ความร่วมมือกับไอบีเอ็มจะนำสู่คุณค่าที่แตกต่างที่ลูกค้ากำลังต้องการ” นายโม เคทิเบห์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านผลิตภัณฑ์และแพลตฟอร์มของเอทีแอนด์ทีบิสสิเนส กล่าว
การใช้บริการดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นในปี 2563 ตั้งแต่บริการที่สนับสนุนการทำงานจากระยะไกลไปจนถึงอีคอมเมิร์ซ การเรียนออนไลน์ การสื่อสาร และกิจกรรมบันเทิง นำสู่การรับส่งข้อมูลที่เพิ่มขึ้นและความต้องการที่สูงขึ้น เมื่อนำเทคโนโลยี 5G มาใช้ร่วมกับการประมวลผลบนไฮบริดคลาวด์แบบเปิดที่ปลอดภัยก็จะสามารถเพิ่มความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูล ลดเวลาแฝงให้ต่ำลง เพิ่มการเชื่อมต่อ และสร้างโอกาสใหม่ๆ ในแง่ที่เกี่ยวกับ IoT และอุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆ
ความร่วมมือนี้จะเป็นประโยชน์กับใคร
ความร่วมมือครั้งนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยลูกค้าที่ต้องบริหารจัดการสภาพแวดล้อมไอทีแบบกระจาย (เช่น มีเซ็นเซอร์หลายพันตัวในโรงงาน หรือระบบขายหน้าร้านในอุตสาหกรรมค้าปลีก) ขณะที่ยังคงต้องเดินหน้าพัฒนาและดูแลให้ระบบปฏิบัติการทำงานได้ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจที่ต้องประมวลผลข้อมูลในระบบคลาวด์หลายระบบ อาทิ:
- อุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพ อาจต้องใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เชื่อมต่อกับระบบสาธารณสุขทางไกล (telehealth) เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานเพื่อเฝ้าติดตามผู้ป่วยจากระยะไกลของโรงพยาบาล
- ในอุตสาหกรรมการผลิต การดำเนินงานอัตโนมัติที่เชื่อมต่อกับ 5G สามารถช่วยลดต้นทุนและควบคุมคุณภาพของสายการผลิตผ่านหุ่นยนต์และการวิเคราะห์ด้วยภาพในเวลาอันรวดเร็วเกือบเรียลไทม์
- ในอุตสาหกรรมค้าปลีก เทคโนโลยี 5G และ edge สามารถช่วยร้านค้าวิเคราะห์ข้อมูลซัพพลายเชน ตรวจจับการรั่วไหลหรือการเน่าเสีย หรือตรวจสอบเมตริกต่างๆ เช่น ความหนาแน่นของฝูงชนที่อาจจะทำให้เครือข่ายล่มได้หากไม่ได้ผ่านการประมวลผลแบบ edge
- ซัพพลายเชน จะมีความยืดหยุ่นและตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงได้มากขึ้นด้วยระบบเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและการตรวจสอบระยะไกล ที่ทำงานร่วมกับระบบการจัดการสินค้าคงคลังอัตโนมัติและกระบวนการจัดซื้อที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย AI
- อุตสาหกรรมการธนาคารและการเงิน จะสามารถตรวจจับการฉ้อโกงและจัดการการเคลมต่างๆ ของลูกค้าได้ในเวลาอันรวดเร็วเกือบจะเรียลไทม์ ตู้เอทีเอ็มที่ติดตั้ง edge จะกลายเป็นจุดตรวจจับการฉ้อโกงเพื่อป้องกันไม่ให้อาชญากรเจาะระบบ