บ.เงินเทอร์โบเผยผลประกอบการ 3 ปี โตเกินเท่าตัวทุกปี ชูจุดเด่นเข้าใจความต้องการของลูกค้า สร้างกระแสการแนะนำปากต่อปาก เล็งเข้าตลาดหุ้นกลางปี 65 เสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ ขยายบริการครอบคลุมทั่วประเทศ ตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อแตะหมื่นล้านภายในปีหน้าเปิดครบ 3,000 สาขา ภายในปี 68
นายสุธัช เรืองสุทธิภาพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เงินเทอร์โบ จำกัด ผู้ให้บริการทางการเงินภายใต้แบรนด์ “เงินเทอร์โบ พร้อมเคียงข้างทุกโอกาส” เปิดเผยว่า บริษัทมีอัตราการเติบโตที่ดีมาก ทั้งรายได้ รวมถึงฐานลูกค้า และจำนวนสาขามาอย่างต่อเนื่องตลอด 3 ปีที่ผ่านมา โดยปี 63 ที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้โตขึ้น 3 เท่าจากปี 62 ส่วนปีนี้ คาดว่าจะมีรายได้โตเกือบเท่าตัวจากปีก่อน ขณะที่ปี 65 น่าจะมีรายได้โตอีกเกือบเท่าตัว
ทั้งนี้ ผลประกอบการของบริษัทถือว่ามีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดด จากปัจจัยสำคัญในเรื่องของการให้บริการที่มีความรวดเร็ว จริงใจ ให้เกียรติ ตรงไปตรงมา สามารถตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าได้อย่างตรงจุด รวมถึงการเปิดให้บริการ 7 วันต่อสัปดาห์ทุกสาขา สามารถรับเงินได้ทันที โดยมองว่าเป็นสิ่งที่บริษัทมีมากกว่าผู้ให้บริการรายอื่น ซึ่งมีผลทำให้บริษัทมีอัตราการเติบโตของธุรกิจสูงที่สุดในอุตสาหกรรมนี้
อย่างไรก็ดี จากรูปแบบการให้บริการดังกล่าวได้กลายเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่สำคัญของบริษัท เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ที่เพิ่มมากขึ้นมาจากการแนะนำกันแบบปากต่อปากของลูกค้าที่เคยใช้บริการสินเชื่อของบริษัท โดยบริษัทจะปลูกฝังวัฒนธรรมองค์กรให้กับพนักงาน ซึ่งจะมุ่งเน้นการให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นลำดับแรก
อีกทั้งยังมีความเข้าใจสภาพคล่องทางการเงินของลูกค้าที่อาจจะไม่สม่ำเสมอ ซึ่งเมื่อลูกค้ามีปัญหาก็พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ ทำให้เกิดความผูกพันระหว่างบริษัทกับลูกค้า โดยบริษัทจะมีทีมสำรวจที่คอยสอบถามความพึงพอใจอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่เฉพาะวันแรกที่ได้รับการอนุมัติเงินกู้ ซึ่งบริษัทจะได้คะแนนเกือบเต็มมาโดยตลอด ใครที่ใช้บริการเงินเทอร์โบแล้วจะไม่ค่อยเปลี่ยนไปใช้ที่อื่น
“บริษัทจะให้เกียรติลูกค้าทุกคนอย่างเท่าเทียม โดยมีความเข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริงในเรื่องของรายได้ที่อาจจะไม่แน่นอน ดังนั้น บริษัทจึงมีความยืดหยุ่นให้กับลูกค้าเสมอ มุ่งเน้นการเข้าไปให้ความช่วยเหลือลูกค้าในยามที่เกิดปัญหา ซึ่งบริษัทจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับนโยบายการยึดทรัพย์สินของลูกค้ามาขายทำกำไร ทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่รักเรา โดยมีจำนวนลูกค้าเพิ่มมากขึ้นตลอด เรียกว่าเปิดสาขามาจำนวนลูกค้าไม่เคยตก โดยที่ไม่เคยโฆษณาอะไรเลย” นายสุธัชกล่าว
นายสุธัช กล่าวต่อไปว่า บริษัทมีแผนที่จะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ช่วงกลางปี 65 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินมาใช้ในการขยายธุรกิจ ซึ่งบริษัทมีแผนจะขยายสาขาให้ได้ 3,000 สาขาในปี 68 เพื่อให้สามารถบริการลูกค้าได้ครอบคลุมทั่วประเทศ จากปัจจุบันที่บริษัทมีสาขาเปิดให้บริการอยู่กว่า 550 สาขา โดยที่สิ้นปีนี้จะเปิดให้บริการเพิ่มเป็น 650 สาขา รวมถึงการนำเงินไปลงทุนขยายทีมเทคโนโลยี ซึ่งบริษัทมองว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการทำธุรกิจในอนาคต
นอกจากนี้ ก็จะนำเงินส่วนหนึ่งมาใช้เพื่อการปล่อยสินเชื่อ หรือเป็นเงินหมุนเวียนของธุรกิจ เพราะธุรกิจของบริษัทต้องใช้เงินทุนเป็นจำนวนมากในการให้บริการ ซึ่งที่ผ่านมาต้องขอบคุณทางธนาคารต่างๆทุกแห่ง โดยเฉพาะธนาคารกสิกรไทยที่สนับสนุนมาโดยตลอด ธนาคารไม่ได้มองเป็นคู่แข่งแต่เข้าใจและมองเราเป็นห่วงโซ่เล็กๆที่ทำให้คนในสังคมเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น จะได้ช่วยกันลดหนี้นอกระบบ
ซึ่งขั้นตอนในปัจจุบันบริษัทเตรียมยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ หรือไฟลิ่ง (Filing) ให้กับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยมีหลักทรัพย์กสิกรไทยเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน (Financial Advisor : FA) ซึ่งเชื่อว่าขั้นตอนทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี เนื่องจากบริษัทมีการวางโครงสร้างพื้นฐาน และระบบบริหารจัดการที่ดีมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัทวันแรก
สำหรับผลิตภัณฑ์ของเงินเทอร์โบที่เปิดให้บริการอยู่ในปัจจุบัน ประกอบด้วย สินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ รถจักรยานยนต์ เป็นหลัก และยังมีสินเชื่อโฉนดที่ดินเพื่อสนองต่อความต้องการของลูกค้า โดยในอนาคตบริษัทมีแผนที่จะเปิดให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคล หรือนาโนไฟแนนซ์ ซึ่งบริษัทมีใบอนุญาตอยู่พร้อมเปิดให้บริการ เพียงแต่ต้องรอให้ถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น เนื่องจากการให้บริการสินเชื่อดังกล่าวทำกำไรได้ค่อนข้างยาก
แม้ว่าจะมีอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 33% แต่หนี้สูญเยอะมาก ที่ผ่านมามีหลายบริษัทที่เปิดให้บริการได้ประมาณ 2-3 ปีก็ต้องยกเลิกไปเพราะขาดทุน โดยบริษัทมองตนเองเป็นผู้ให้บริการทางการเงินของคนกลุ่มที่เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงิน ดังนั้น หน้าที่ของบริษัทก็คือการคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับลูกค้าของเราให้ได้มากที่สุด เราอยากทำแต่ต้องหาวิธีที่ทำได้ยั่งยืน
“ปรัชญาในการทำธุรกิจของตนมี 3 องค์ประกอบหลักที่ไม่สลับซับซ้อน ได้แก่ 1.ลูกค้าต้องรัก ลูกค้าต้องดีใจที่มีเงินเทอร์โบอยู่ 2.พนักงานมีความสุขในการทำงาน ทั้งบรรยากาศการทำงานและผลตอบแทน และ 3. บริษัทมีกำไรเพียงพอ หรือจะกล่าวก็คือกำไรบวกลูกค้ามีความสุขบวกคนที่งานมีความสุข โดยคนบางคนมองว่ากำไรมากแปลว่าเอาเปรียบลูกค้า
ตนมองว่าไม่จริงเลย กำไรไม่ได้มาจากการขายแพงเพราะคู่แข่งเต็มตลาดไม่ใช่จะตั้งราคายังไงก็ได้ แต่มาจากการที่มีผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจและตอบโจทย์ลูกค้าทำให้มีจำนวนลูกค้าจำนวนมาก รวมกับการบริหารงานที่ดีมีประสิทธิภาพ ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยต่ำกว่าคนอื่น ตรงนี้คือกำไร เพราะธุรกิจที่ไม่มีกำไร คนทำงานจะไม่มีความสุข
เนื่องจากจะถูกมองว่าอยู่ไปก็ไม่มีอนาคต หากไม่มีกำไรจะนำเงินที่ไหนมาลงทุนสร้างนวัตกรรมใหม่และขยายบริการให้กับลูกค้า ลูกค้ารักและมีความสุข คนทำงานมีความสุข มีกำไรตามสมควร 3 อย่างนี้ต้องไปด้วยกันเสมอ ซึ่งเราทำได้ดีมาก ทีมงานของเราชวนเพื่อนๆมาทำงานเยอะมาก ปีหนึ่งมีใบสมัครหลายหมื่นใบ บางตำแหน่งใบสมัครต่อคนที่รับราวๆ 500 ต่อ 1 ทำให้เรามีทีมที่มีคุณภาพ”
นายสุธัช กล่าวต่อไปอีกว่า แนวโน้มของตลาดสินเชื่อขนาดเล็ก หรือไมโครไฟแนนซ์เชื่อว่ายังเป็นตลาดที่มีการแข่งขันกันอย่างหนักต่อไป ทำให้อัตราดอกเบี้ยจะยังคงลดลงอยู่ต่อเนื่อง แต่ผู้ให้บริการจะมีกำไรโตมากขึ้นจากการแย่งชิงพื้นที่ส่วนแบ่งมาจากเจ้าหนี้นอกระบบ กำไรต่อลูกค้าอาจจะลดลงแต่จำนวนลูกค้าที่มากขึ้นนั้นทำให้ภาพรวมแล้วยังเติบโตได้ดี เชื่อว่าอุตสาหกรรมนี้ยังเติบโตได้อีกในระยะยาว ซึ่งเงินเทอร์โบก็พร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของตลาด เพื่อให้บริการกับลูกค้า
“การมีคู่แข่งเพิ่มมากขึ้นเป็นเรื่องปกติของการทำธุรกิจ โดยตนถือว่าเป็นเรื่องที่ดีตราบใดที่อยู่ในกรอบของกติกา เพราะสุดท้ายแล้วการแข่งขันในตลาดจะทำให้ลูกค้าได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลง และการให้บริการที่ตอบโจทย์มากขึ้น ขณะที่ทุกบริษัทก็จะแข็งแกร่งขึ้นจากการปรับตัว เจ้าหนี้นอกระบบก็คงลำบากมากยิ่งขึ้นเพราะตัวเลือกในระบบมีเยอะ ในอุตสาหกรรมของเรามีเจ้าใหญ่ 3 เจ้า ผู้บริหารแต่ละเจ้าเก่งกันทั้งนั้น แต่เก่งคนละกลุ่มลูกค้า”
อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 (Covid-19) บริษัทได้ดำเนินการช่วยเหลือลูกค้าหลากหลายแนวทาง เช่น ลูกค้าที่ขาดเงินหมุนแต่กิจการยังไปต่อได้ บริษัทก็จะให้เงินเพิ่มเพื่อเติมสภาพคล่องให้กับธุรกิจ หรือลูกค้าที่รายได้ลดลง แต่ยังมีความตั้งใจที่จะชำระหนี้ขอผ่อนน้อยลง บริษัทก็จะยืดหนี้ให้ เป็นต้น โดยเรียกว่าเป็นการปรับตามความต้องการของลูกค้าแต่ละราย
บริษัทฯเคยปรับตัวมาครั้งหนึ่งเมื่อปีที่แล้วตอนถูกลดเพดานดอกเบี้ย โดยเลี่ยงการปล่อยสินเชื่อกับลูกค้าบางกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงเพราะอาจเจ็บตัว ส่วนในสถานการณแบบนี้ก็ต้องปรับตัวต่อไป บริษัทก็อาจจะต้องระวังการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น โดยเชื่อว่าเป็นแนวทางที่ผู้ประกอบการทุกรายปฏิบัติ โดยบริษัทจะมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าที่ได้รับผลกระทบไม่มาก และให้ความใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้น เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที ขณะที่การขยายสาขาในการให้บริการก็ยังเติบโตอยู่ แต่การเติบโตอาจต้องชะลอตัวตามสถานการณ์ เพื่อรอช่วงเวลาที่เหมาะสม
“บริษัทมีการปรับกลยุทธ์การปล่อยสินเชื่อให้รัดกุมมากขึ้นตั้งแต่โควิดระบาดรอบแรก โดยผ่านมาแล้ว 1 ปีครึ่งเรามั่นใจมากว่าสามารถบริหารจัดการได้ แต่แม้ว่าจะจัดการได้ดีขนาดไหนยอมรับว่าสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ก็ยังเพิ่มขึ้น แต่ยังดีกว่าที่เคยคาดคาดไว้ ตอนนี้หนี้เสียภาพรวมยังไม่มากอยู่ที่ประมาณ 1% กว่าๆ เชื่อว่ากรณีเลวร้ายสุดน่าจะไม่เกิน 2%”