ห่างหายกันไปนานกับการท่องเที่ยวที่เป็นคาราวาลของชาวสองล้อ ก็ด้วยเพราะโควิดแพร่พิษไปทั่วประเทศ แต่ก็ไม่มีงานเลี้ยงไหนที่ไม่เลิกลาสุดท้ายความกลัวก็เริ่มจางหายด้วยสถานะการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย Biker Trip จึงกลับมาเริ่มต้นออกเดินทางกันอีกครั้ง @นครนายก ปราจีนบุรี รูปแบบ ‘สบ๊ายสบาย ภาคตะวันออก’ “ทวาราวดียังมีขีวิต”
ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทำเอาเมืองหลัก เมืองรองบอบช้ำไปตามๆกัน รวมไปถึงนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวสองล้อที่โหยหาบรรยากาศของการขี่รถมอร์เตอร์ไซด์ท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆท่ามกลางความสวยงามของบ้านเรือนสองข้างถนน แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ทั้งวัดวาอาราม แหล่งอารยะธรรม รวมถึงวิถีชีวิตของผู้คน ในแต่ละจังหวัดที่บิดคันเร่งผ่านไป
วันแรก “วันเสริมสิริมงคล”
7-8 พฤษภาคม 65 “Biker Trip ปราจีน” คาราวาลก็ต้องเดินด้วยท้อง “ก๋วยเตี๋ยวเป็ด คานทอง@นครนายก” เป็นจุดนัดพบชาวสองล้อสำหรับการเดินทางภายใต้หัวข้อท่องเที่ยวปลอดภัย สุขใจเที่ยวเมืองรอง @นครนายก ปราจีนบุรีลมหายใจของเมืองทวารวดีที่ยังมีชีวิต เติมพลังก่อนออกเดินทาง Biker เริ่มทยอยเดินทางมารวมตัวกันที่ร้านกว่า 40คัน ทั้งจาก กทม. , สมุทรปราการ , มหาสารคามฯ ซึ่งมากันจากหลากหลายที่กว่า 50 ชีวิต โดยมี คุณตรี วันเดอร์ลัสต์ ทัวร์ แอนด์ ทราเวล คอนซันติ้ง เป็นผู้นำทีมในทริปนี้
เสียงสตาร์ทเครื่องยนต์ดังกระหึ่มหลังจากทุกคนเติมพลังกันเรียบร้อยก็พร้อมออกเดินทางโดยจะไปตั้งหลักปล่อยตัวกันที่ ที่ทำการ ททท. สำนักงานนครนายก โดยมีเจ้าหน้าที่ ตำรวจท่องเที่ยวอำนวยความสะดวก นำคณะเข้าจุดปล่อยตัว หลังจากปล่อยตัวจุดหมายเดินทางอยู่ที่ จังหวัดปราจีนบุรี ใช้เวลาเดินทางปะมาณ 1 ชั่วโมงก็มาถึงเมืองปราจีนบุรี เมืองที่อุดมสมบูรณ์ด้วยสมุนไพร และผลไม้ ที่มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่ครั้งสมัยทวาราวดี ย้อนกลับไปกว่า 1500 ปี
จุดแรกแวะเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติปราจีนบุรี ที่จัดแสดงโบราณวัตถุชิ้นงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์พระคเณศวร์ ที่ถูกค้นพบที่บริเวณเมืองโบราณสระมรกต พระพุทธรูปทวาราวดีองค์งามที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ และเคยถูกอัญเชิญไปจัดแสดงในหลายประเทศ การจัดแสดงหลุมขุดค้นเจ้าหญิงแห่งโคกพนมดี กับลูกปัดที่เป็นเครื่องประดับนับพันเม็ด รวมทั้ง จารึกสดกก็อกธม ศิลาจารึกชิ้นเอกที่ผู้คนที่สนใจประวัติศาสตร์เขมรใช้เป็นแนวทางในการเรียนรู้เรื่องราวของกัมพุชประเทศ เราใช้เวลาอยู่ทีพิพิธภัณฑ์ฯ ประมาณ 1ชั่วโมง
หลังจากนั้นเดินทางต่อเพื่อเยี่ยมชมตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ ที่มีลักษณะเป็นตึกสองชั้น สร้างโดยบริษัทโฮวาร์ด เออร์สกิน เป็นสถาปัตยกรรมยุโรปในแบบบาร็อค (Barogue) ตั้งอยู่ภายในรั้วของโรงพยาบาลอภัยภูเบศร์ ทาสีเหลืองมัสตาร์ด มีลวดลายปูนปั้นสีขาวประดับงดงาม สร้างขึ้น เมื่อ พ.ศ.2452 โดยใช้ทรัพย์สินส่วนตัวของท่านเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (ชุ่ม)
โดยมีเจตนารมณ์เพื่อจัดถวายตึกนี้ ให้เป็นที่ประทับแรมของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยามเสด็จประพาสมณฑลบูรพา แต่ยังไม่ทันแล้วเสร็จ ในปีต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จสวรรคตเสียก่อน ตึกนี้จึง ได้เริ่มใช้ในการรับเสด็จครั้งแรกในคราที่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเยือน มณฑลปราจีนบุรี ปี ค.ศ.1912 (พ.ศ.2455) ปัจจุบันตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์นี้ ใช้เป็นพิพิธภัณฑ์แพทย์แผนไทย และที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ของโรงพยาบาลอภัยภูเบศร์
ไม่ไกลจากตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ เดินทางต่อมายังที่วัดแก้วพิจิตร กราบสักการะหลวงพ่ออภัย เพื่อขอพรให้เกิดความสงบร่มเย็น และผู้ที่ได้กราบไว้จะได้พรที่จะมีเสน่ห์ที่คำพูดและการเจรจา วัดแก้วพิจิตรมีสถาปัตยกรรมการผสมผสานด้วยกัน 4 แบบ เป็นวัดคู่แฝด กับวัดดำเรยซอร์ หรือวัดช้างเผือก ที่สร้างโดยเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม) ณ เมืองพระตระบอง ก่อนจะอพยพมาพำนักที่เมืองปราจีนบุรี
หลังจากกราบพระ เยี่ยมชมสถาปัตยกรรมแล้ว ก็ได้เวลาพักเติมพลังพอดี แวะรับประทานอาหารกลางวันที่ บ้านเล่าเรื่อง บ้านหลังเล็กๆ ปกคลุมด้วย ต้นไทร ต้นใหญ่ อายุเก่าแก่ ร่มครึ้ม ซึ่งเดิม เป็นบ้านของครอบครัวเปี่ยมสมบูรณ์ ตระกูลเก่าแก่ของเมืองปราจีนบุรี สร้างขึ้นราว พ.ศ. 2493 บ้านเล่าเรื่อง สมุนไพรปราจีนบุรี เป็นร้านอาหาร ที่จัดแสดงประวัติความเป็นมาของเมืองปราจีนบุรี วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ และวัฒนธรรมประเพณี รวมถึง ภูมิปัญญาพื้นบ้านด้านสมุนไพร ที่คนปราจีนบุรีใช้ในการดูแลสุขภาพมายาวนาน
ถึงร้านฝนก็เทลงมาอย่างหนัก ช้าอีกนิดเดียวเปียกแน่ๆ ทางร้านได้เตรียมอาหารไว้ต้อนรับเรียบร้อยแล้วไม่ต้องไปนั่งรอมาถึงก็ทานได้เลย อันนี้ต้องขอบคุณทีมประสานงาน ส่วนเมนูอาหารก็เป็นเมนูเพื่อสุขภาพ มีทั้งปลากะพงผัดขิง ต้มจืดใบหูเสือ แกงฮังเล น้ำพริกอ่อง กุ้งทอดใบชะพลู แถมด้วยไอกรีมกะทิ ปิดท้ายด้วยกัญชาโซดาเย็นชื่นใจ สมเป็นเมืองสมุนไพรจริงๆ
อิ่มหนำสำราญกับอาหารกลางวัน ฝนก็หยุดตกพอดี เสียงเครื่องยนต์คำรามขึ้นอีกครั้ง มันเป็นเสียงที่ปลุกให้ตื่นตัวเพื่อการเดินทางจริงๆ เราเดินทางต่อมายังเมืองศรีมโหสถ เมืองโบราณที่มีพัฒนาการตั้งแต่ราว พุทธศตวรรษที่ 11-18 ชมสระเเก้ว สระขวัญ สระน้ำที่มีภาพสัตว์มงคล กรุอยู่โดยรอบของขอบบ่อ เชื่อว่าเคยใช้น้ำในสระนี้ เป็นน้ำมงคล ใช้ในการประกอบพระราชพิธีสำคัญ
โดยที่ขอบสระ มีการสลักรูปสัตว์ภายในกรอบสี่เหลี่ยม ช้าง มกร หม้อน้ำ สิงห์ หมู งู และช้าง ซึ่งเป็นสัตว์มงคลของเทพในศาสนาฮินดู สะท้อนความอุดมสมบูรณ์ โดยมกร มีความใกล้เคียงกับรูปแบบศิลปะอมราวดีของอินเดีย ที่อยู่ภายในกำแพงเมือง และคูน้ำ
ฝนเริ่มตกมาปรอยๆ พอให้เปียก แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งการเดินทางของชาวสองล้อลงได้ “อุปสรรคกับสองล้อ ถ้าย่อท้อก็ไม่ถึงจุดหมาย” เมืองนี้จริงๆแล้วเราจะใช้เวลาอยู่ไม่นาน หากแต่ เพื่อนชาวสองล้อเรามาไม่ครบน่าจะคลาดกันตอนติดไฟแดง หลงไปอีกทางกว่า 30กม. ไป-กลับก็ 60กม. ก็รอกันไป และนี่คือเสน่ห์ของการเดินทางมีหลงบ้าง เลยบ้าง ไว้เป็นเรื่องเล่าเมื่อคราวรวมตัว
มากันครบแล้ว ออกเดินทางสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ โบราณสถานสระมรกต นมัสการรอยพระบาทคู่สมัยทวาราวดี ที่เป็นที่เคารพเลื่อมใสที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย โดยจะมีพุทธศาสนิกชนมากมายนับพัน มาสวดมนต์ ทำพิธีที่รอยพระพุทธบาทนี้ในวันมาฆะบูชาในทุกๆ ปี เมื่อมาถึงที่ชาวสองล้อเราก็ไม่พลาดที่จะทดลองตักน้ำจากสระมรกตมาลูปหน้าลูปตาเพื่อความสดชื่น มีกรอกใส่ขวดด้วย หลังจากนั้นก็ไปกราบรอยพระบาทคู่เพื่อความเป็นสิริมงคล
ปิดทริปวันแรก เดินทางกลับพัก โรงแรมแคนทารี่ 304 พักผ่อนกันตามอัธยาศัย หายเหนื่อยเมื่อยล้ากันแล้วก็ได้เวลาอาหารเย็น เราออกเดินทางจากที่พักเพื่อร่วมงานเลี้ยงต้อนรับ ที่ร้านอาหาร ณ บางกุ้ง ทุ่งข้าว ภายในงานบรรยากาศเป็นกันเองมีกิจกรรม การแสดงต่างมากมายต้อนรับชาว Biker Trip ปราจีนในค่ำคืนนี้ จบทริปวันแรกแยกย้ายกันกลับที่พัก พรุ่งนี้เดินทางต่อ หนทางยังอีกยาวไกล
วันที่สอง “วันเสริมส่งโชคลาภ”
แสงอรุณสาดส่องเข้ามาในห้องพักเพื่อจะปลุกให้ตื่นจากการหลับใหลบิดตัวลุกจากที่นอนที่แสนสบาย พร้อมไปทรมานร่างกายที่เป็นความสุขบนสองล้อคู่ใจ จัดการกับตัวเองเรียบร้อยหลังรับประทานอาหารเช้าแบบ Breakfast ที่โรงแรมแคนทารี่ 304 ซึ่งอาหารเช้าที่โรงแรมนี้จัดว่าดีเลยทีเดียวทานอาหารอิ่มเรียบร้อยพร้อมออกเดินทาง สู่วัดปทุมบูชา เพื่อไปกราบสักการะท้าวเวสสุวรรณ
หนึ่งในท้าวจตุโลกบาล ผู้ปกปักรักษาทิศเหนือ โดยมีความเชื่อว่าท้าวเวสสุวรรณจะปกป้องสรรพชีวิตจากสิ่งชั่วร้าย และเชื่อว่าเป็นเทพแห่งความมั่งคั่ง ผู้เป็นใหญ่แห่งยักษ์ อสูร และปีศาจทั้งปวง โดยสร้างขึ้นเมื่อราว พ.ศ. 2524 อยู่ข้างพระอุโบสถ สำหรับท้าวเวสสุวรรณองค์นี้ เชื่อกันว่าเป็นองค์ที่ใหญ่ที่สุดในภาคกลาง และภาคตะวันออก โดยมีความสูงถึง 12 เมตร ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เดินทางมากราบไหว้ท่านก็เพื่อขอโชคลาภและความเป็นศิริมงคลกับตัวเอง
ไหว้ขอพรท้าวเวสสุวรรณกันเรียบร้อย เราเดินทางมุ่งหน้าสู่ “วัดสง่างาม” ซึ่งเป็นวัดแรกในประเทศไทยที่มีการยกพระอุโบสถขึ้นเนื่องจากทุกเดือนกรกฎาคมและตุลาคมของทุกปีน้ำจะท่วมรอบประอุโบสถสูงประมาณ 1เมตร ซึ่งขณะที่ทำการบูรณะอยู่นั้น มีประชาชนเดินทางมาลอดใต้พระอุโบสถจำนวนมาก แต่ละคนได้ตั้งจิตอธิษฐาน และได้สมดังปรารถนา
ความศักดิ์สิทธิ์ของพระอุโบสถหลังนี้จึงเป็นที่โจษจัน ทำให้ต่อมาผู้คนเริ่มเดินทางมารอดพระอุโบสถอยู่เสมอๆ พร้อมมาปิดทองหลวงปู่ผิว(พระครูสีลวิสุทธาจารย์) อดีตเจ้าอาวาสเอความเป็นสิริมงคล หลังจากลอดใต้พระพระอุโบสถแล้ว ก็มารับแจกน้ำมันหลวงปู่ผิวที่มีสรรพคุณ แก้ปวดเมื่อย ปวดกระดูกแล้ว เราก็มาแวะรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน ที่ร้านอาหารบ้านร่มไม้
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อยปิดท้าย “Biker Trip ปราจีน” ด้วยการไปเยี่ยมชมวัดรัตนเนตตาราม วัดที่ตบแต่งด้วยเปลือกหอย ชาวบ้านจะเรียกชื่อที่รู้จักกันว่า วัดล้านหอย โดยเรียกจากการนำเปลีอกหอยที่ถูกทิ้งมามาประดับสถาปัตยกรรมได้อย่างน่าชม และเป็นการนำเปลือกหอยมาใช้ให้เกิดประโยชน์
ปิดทริป สองวันหนึ่งคืน ที่ชาวสองล้อได้โลดแล่นอยู่บนถนนสายมู เต็มอิ่มกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเมืองปราจีน เทียววัดขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เสริมความเป็นสิริมงคลให้กับตัวเอง นอกจากจะได้ทั้งความรู้ และความเป็นสิริมงคลกับตัวเองแล้วนั้นยังเป็นการกระจายรายได้ส่วนหนึ่งเพื่อช่วยเหลือชุนชน และบรรเทาความเดือดร้อนจากวิกฤตโควิด-19 “เที่ยวเมืองรองไม่ไปไม่รู้” “ท่องเที่ยวปลอดภัย สุขใจเที่ยวเมืองรอง” “สบ๊ายสบาย ภาคตะวันออก”