คณบดีจุฬาฯ จับมือโรงเรียนแพทย์ รพ.เอกชน จับตาผู้ป่วยเข้ารพ.จากการใช้กัญชา พร้อมขอประสาน กทม. เฝ้าระวังการใช้ในโรงเรียน หวังเป็นข้อมูลถกร่างพ.ร.บ.กัญชาคุมเข้มขึ้น “ผู้เชี่ยวชาญ” เตือนอย่าใช้การสูบชี้ ทำลายปอด-หลอดลม ก่อมะเร็ง ได้คล้ายบุหรี่ “ศศก.” ชี้ ไทยชาติแรกในเอเชียเสรีกัญชา แนะเตรียมความพร้อมแนวทาง-ยารักษาการติดกัญชา ขณะที่ “รองผอ.สถาบันกัญชาฯ”รายงานผู้ป่วยใช้ทางการแพทย์มากขึ้น
เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ศูนย์ศึกษาปัญหาการเสพติด (ศศก.) ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้มีการจัดเสวนาวิชาการเพื่อการพัฒนาศักยภาพการวิจัยและนักวิชาการด้านการเสพติด
โดย รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผอ.รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า ขณะนี้นโยบายทางการเมือง และกระทรวงสาธารณสุขที่ผลักดันเรื่องการใช้กัญชาโดยเน้นการใช้ทางการแพทย์ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ไม่เน้นการใช้เพื่อสันทนาการ
แต่ในทางปฏิบัติอาจมีความย้อนแย้งกัน เพราะการใช้กัญชาทางการแพทย์แผนปัจจุบันนั้นมีโรคที่อนุญาตให้ใช้ประมาณ 6-7 โรค แต่ที่น่ากังวลคือการนำเอาไปใช้สันทนาการแล้วอ้างว่าใช้เพราะเจ็บป่วยถือว่าอันตรายมาก รวมถึงการได้รับสารในกัญชาโดยไม่รู้ถึงปริมาณจากการรับประทานก็เป็นเรื่องที่น่ากังวล
ดังนั้นตนจึงได้หารือกับทางโรงเรียนแพทย์ และเครือข่ายโรงพยาบาลเอกชนเพื่อเก็บข้อมูลผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากกัญชาทุกราย ร่วมกับการรายงานจากกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงประสานกรุงเทพมหานคร เพื่อเฝ้าระวังการใช้ในโรงเรียน
ทั้งนี้เพื่อให้มีข้อมูลเชิงประจักษ์ให้เห็นถึงอันตรายจากกัญชา เพื่อให้การพิจารณาร่างพ.ร.บ.กัญชา กัญชง พ.ศ….เป็นไปอย่างรอบคอบ ไม่อย่างนั้นกฎหมายที่ออกมาจะเบามาก โดยอ้างว่าขนาดเสรีแล้วยังไม่มีปัญหาอะไร
“มีรายงานการสูบกัญชานาน ๆ มีผลเสียต่อปอดรุนแรงกว่าการสูบบุหรี่ ผลต่อระบบทางเดินหายใจ ทำให้มีการอักเสบของหลอดลม ปอด ที่สำคัญคือมะเร็งปอด
อีกทั้งยังมีปัญหาทางสมอง ไอคิวต่ำ เนื้อสมองฝ่อ สติปัญญาเสื่อม เฉื่อยชา ตัดสินใจผิดพลาด จิตหลอน และเป็นโรคจิตได้ จึงต้องช่วยกันรณรงค์ไม่ให้มีการสูบ” ศ.นพ.สิริชัย กล่าว
รศ.พญ.รัศมน กัลยาศิริ ผอ.ศศก. กล่าวว่า เนื่องจากประเทศไทยมีนโยบายใหม่เกี่ยวกับยาเสพติด มองผู้เสพเป็นผู้ที่ต้องได้รับการบำบัดรักษา ส่วนผู้ค้ายังคงรับโทษทางกฎหมายนั้น ทำให้ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีการแก้กฎหมายหลายฉบับ มีการอนุญาตให้ใช้กัญชาทางการแพทย์ การอนุญาตให้ใช้ใบประกอบอาหารได้
จึงมีผู้ใช้กัญชามากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงการปลดกัญชาไม่ใช่ยาเสพติดผิดกฎหมาย ถือเป็นชาติแรกในเอเชียที่เปิดให้มีการใช้อย่างเสรี และค่อนข้างเสรีที่สุดในโลก แม้จะไม่ส่งเสริมให้ใช้สันทนาการ แต่การใช้สันทนาการก็ไม่มีกฎหมายควบคุมเฉพาะโดยที่กำลังจะมีการควบคุมเป็นเพียงเรื่องการสูบสร้างความรำคาญ การสูบแล้วขับขี่ยานพาหนะ
และอาจมีการห้ามโฆษณาออกมา บทเรียนในต่างประเทศที่มีการใช้กัญชาเสรี ใช้สันทนาการ เช่น แคนาดา อุรุกวัย โดยหวังแก้ปัญหากัญชาใต้ดิน กลับพบว่ามีคนใช้กัญชามากขึ้น คนป่วยเข้าห้องฉุกเฉินที่สัมพันธ์กับการใช้กัญชาเพิ่มขึ้น
“ดังนั้นประเทศไทยต้องช่วยกันเฝ้าระวัง ให้ความรู้การใช้กัญชาอย่างถูกต้อง ระวังไม่ให้ใช้ในเด็ก เพราะมีผลกระทบต่อพัฒนาการ สมอง จิตใจ ซึมเศร้า เสี่ยงฆ่าตัวตาย ต้องเตรียมรูปแบบการรักษาการเสพติดกัญชาให้พร้อม
เพราะจากข้อมูลที่ผ่านมาแม้จะเป็นการใช้เพื่อรักษาโรค แต่พบว่าผู้ป่วยไม่ได้ซื้อน้ำมันกัญชาจากแหล่งที่ปลอดภัย แต่ซื้อทางออนไลน์ หรือแหล่งที่หาซื้อพิเศษ” รศ.พญ.รัศมน กล่าว
ขณะที่ พญ.ปัจฉิมา หลอมประโคน รองผอ.สถาบันกัญชาทางการแพทย์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า นโยบายกระทรวงสาธารณสุขปี 2565 เรื่องสมุนไพรกัญชา กัญชง แบ่งเป็น 2 ระยะ
ระยะแรกให้เข้าถึงอย่างปลอดภัย ระยะที่สองคือขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งในส่วนของการใช้ทางการแพทย์นั้น กรมการแพทย์กำหนดการใช้กัญชารักษาโรคเป็น กลุ่มที่ได้ประโยชน์ คือ 1. คลื่นไส้อาเจียนจากเคมีบำบัด
2.โรคลมชักรักษายาก ดื้อต่อยารักษา
3.กล้ามเนื้อหดเกร็งในผู้ป่วยปลอกประสาทเสื่อมแข็ง
4. ปวดประสาท
5. ภาวะเบื่ออาหารในผู้ป่วยเอดส์ ที่มีน้ำหนักตัวน้อย
และ 6.เพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วยระยะประคับประคอง หรือระยะสุดท้ายของชีวิต
อีก 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่น่าจะได้ประโยชน์ คือโรคพาร์กินสัน อัลไซเมอร์ วิตกกังวลทั่วไป และปลอกประสาทอักเสบ และกลุ่มที่อาจจะได้ประโยชน์ในอนาคต เช่นการรักษามะเร็ง ซึ่งอยู่ระหว่างการทดลอง จึงขอให้ผู้ป่วยมะเร็งเข้ารับการรักษาที่เป็นมาตรฐานอย่าใช้กัญชาเป็นทางเลือกแรก
ทั้งนี้ ในปี 2565 มีการเปิดคลินิกกัญชาทั่วประเทศได้เกินเป้าหมาย 70% ผู้ป่วยทั้งหมดใช้กัญชาทางการแพทย์เพิ่มขึ้น 5% ทั้งนี้เมื่อเทียบกับปีงบประมาณ 2564 พบว่ามีการใช้กัญชาทางการแพทย์เพิ่มถึง 73%.