“บีไอจี” ก้าวสู่ผู้นำ Climate Tech มุ่งเน้นคลีนไฮโดรเจน และ สมาร์ทแพลตฟอร์มลดคาร์บอน พร้อม ร่วมผลักดันประเทศให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero
ในโอกาสครบรอบ 35 ปี “บีไอจี” ประกาศทรานส์ฟอร์มองค์กร พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจด้วย Climate Technology ชูศักยภาพคลีนไฮโดรเจนและเทคโนโลยีสมาร์ทแพลตฟอร์มลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อสภาพภูมิอากาศ เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ร่วมผลักดันประเทศให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero
บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด ประกาศทรานส์ฟอร์มองค์กร พร้อมใช้ชื่อ “บีไอจี” ในโอกาสครบรอบ 35 ปี เพื่อให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำและการขับเคลื่อนเพื่อเป้าหมาย Net Zero ที่ “บีไอจี” มุ่งมั่นการพัฒนานวัตกรรมก๊าซอุตสาหกรรมเพื่อก้าวสู่เป้าหมายของความยั่งยืนอย่างแท้จริงด้วย Climate Technology
“บีไอจี” เป็นบริษัทในเครือแอร์โปรดักส์ (Air Products) จากประเทศสหรัฐอเมริกา ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมก๊าซอุตสาหกรรม ซึ่งดำเนินธุรกิจมากว่า 35 ปีในประเทศไทย พร้อมรุกด้าน Climate Technology มุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืน และการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition)
เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมไทยมุ่งสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์หรือ Net Zero ให้ได้เร็วกว่าเป้าหมายที่ประเทศวางไว้ในปี ค.ศ. 2065
“บีไอจีพร้อมขับเคลื่อนนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Climate Technology เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์กรที่สอดรับกับเป้าหมายของประเทศไทยในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี ค.ศ. 2050 และ Net Zero ภายในปี ค.ศ. 2065 ซึ่งขณะนี้เอง บีไอจี ก็ได้ลงมือทำไปแล้วมีความก้าวหน้าในการลดการปล่อยคาร์บอนสุทธิจากการลดใช้ไฟฟ้าในกระบวนการผลิตของเราได้กว่า 20% แล้ว จากเป้าหมาย 33% ในปี ค.ศ. 2030 เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero ด้วย Climate Technology ในปี 2050” คุณปิยบุตร จารุเพ็ญ กรรมการผู้จัดการ บีไอจี กล่าว
หนึ่งใน Climate technology ที่สำคัญคือ ไฮโดรเจน ซึ่งในปัจจุบัน “บีไอจี” เป็นผู้ผลิตไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำเพื่อนำมาใช้ในงานพาณิชย์รายใหญ่ที่สุดในประเทศ มีความเชี่ยวชาญทางด้านนวัตกรรม และการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับไฮโดรเจน โดยบริษัทได้ใช้เทคโนโลยีจากบริษัทแม่คือ แอร์โปรดักส์ที่เป็นผู้ผลิตไฮโดรเจนรายใหญ่สุดของโลกซึ่งกำลังมีโครงการใหญ่ที่มีมูลค่าการลงทุนกว่า 15,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ
โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการเกี่ยวกับไฮโดรเจนสีน้ำเงิน (Blue Hydrogen) และไฮโดรเจน สีเขียว (Green Hydrogen) ปัจจุบันมีความคืบหน้าโครงการไปแล้วกว่า 50% แล้ว และคาดว่าจะพร้อมใช้งานเต็มรูปแบบในปี ค.ศ. 2026-2027 ในส่วนของประเทศไทย บีไอจีได้ร่วมมือกับ กลุ่มบริษัท ปตท. และ โตโยต้าจัดตั้งสถานีบริการเติมเชื้อเพลิงไฮโดรเจนให้กับภาคยานยนต์แห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในพื้นที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ตั้งแต่ปี 2565
นอกจากนี้ บีไอจียังมีแผนจะนำเทคโนโลยีการเก็บกักคาร์บอนและเทคโนโลยีอีเล็คโตรไลซิสเพื่อพัฒนาไฮโดรเจนสีน้ำเงินและไฮโดรเจนสีเขียวร่วมกับองค์กรชั้นนำในประเทศ โดยมุ่งเน้นโครงการสำคัญที่ทำได้จริง เพื่อผลักดันการเปลี่ยนผ่านจากพลังงานฟอสซิลไปสู่พลังงานไฮโดรเจนอย่างเต็มรูปแบบ ถือความก้าวที่สำคัญที่ช่วยประเทศไทยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero Emissions
นอกจากนี้ บีไอจียังได้พัฒนาอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ด้าน Climate Technology คือ สมาร์ทแพลตฟอร์มสำหรับการลดการปล่อยคาร์บอนสุทธิของภาคอุตสาหกรรม ผ่านระบบ Carbon Accounting Platform ด้วยดิจิทัลเทคโนโลยี โดยเริ่มจากการวัดเพื่อทราบปริมาณการปลดปล่อยคาร์บอนสุทธิในกระบวนการผลิตทั้งหมดแบบเรียลไทม์
จากนั้น บีไอจี จะนำโซลูชั่นหลากหลายรวมไปถึงนวัตกรรมก๊าซอุตสาหกรรมที่มีปริมาณคาร์บอนต่ำเป็นพิเศษที่บีไอจีผลิตได้เพียงรายเดียวในประเทศไทยมาช่วยลดการปล่อยคาร์บอนที่มาจากกระบวนการผลิตที่ถูกวัด และสุดท้ายแพลตฟอร์มนี้ยังสามารถทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนซื้อขายคาร์บอนเครดิตกับบีไอจีเองและภาคส่วนต่างๆ จากทุกอุตสาหกรรม
ทั้งหมดนี้ เพื่อตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมให้บรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนสุทธิและการสร้างความยั่งยืน โดยภาคอุตสาหกรรมสามารถนำไปวางแผนและดำเนินการเพื่อลดการปลดปล่อยคาร์บอนสุทธิในกระบวนการผลิตได้อย่างเป็นรูปธรรม
บีไอจีจึงผลักดัน Climate Technology พร้อมขับเคลื่อนและร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมไทยด้วยศักยภาพความเป็นผู้นำทั้งในระดับโลกและระดับประเทศทางด้านไฮโดรเจนและเทคโนโลยีดิจิทัลแพลตฟอร์มอย่างเต็มรูปแบบ สอดรับนโยบายประเทศเพื่อบรรลุเป้าหมายความยั่งยืนร่วมกัน