ทริปท่องเที่ยวบนถนนสายมิตรภาพ หนีมลพิษเมืองกรุง มุ่งหน้าเขาใหญ่ สัญจรนอนไพร (แคมป์ปิ้ง) นับดาวค้างฟ้า ตื่นมาเข้าไร่ ตัดองุ่น จิบไวน์
ติ๊ดๆๆๆ เสียงนาฬิการ้องปลุกแต่เช้า จำต้องลุกจากที่นอนสลัดความง่วงหงาวหาวนอนอาบน้ำเตรียมตัวไปรวมพลที่หมอชิตเพื่อเดินทางไปบนถนนสายมิตรภาพมุ่งหน้าเขาใหญ๋ ซึ่งทริปนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ใหญ่ใจดี….สมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่, ร้านเป็นลาว (ออน เดอะ พลาโต), Silver Voyage Club, Granmonte, Maya Luxury Glamping, ชมรมผู้ประกอบการร้านอาหารอำเภอปากช่อง, ชมรมฮักเขาใหญ่
และแล้วเราก็เดินทางมาถึงหมอชิต 7.30 ตามเวลานัดหมาย เพื่อนร่วมทริปหลายคนเดินทางมาถึงก่อนแล้วทุกคนใส่เสื้อแมวโคราชเป็นทีมเดียวกัน เมื่อทุกคนมาปะกันความมันก็บังเกิด จากจุดนัดก่อนหน้านี้เคยเงียบสงบ ก็เสมือนมีตลาดนัดย่อมๆ ณ จุดนัดหมาย การรวมตัวกันครั้งนี้ราวกับว่าไม่ได้พบเจอกันมาแรมปี ทุกคนต่างทักทายปราศัยกันอย่างออกอรรถรถ เมื่อทุกคนมาพร้อมเพรียงกันแล้วก็พร้อมออกเดินทาง หลังจากนั้นความสงบก็กับมาเยือนอีกครั้ง
ล้อหมุน 8.00น. เราเตรียมตัวออกเดินทาง จากถนนพหลโยธิน มุ่งหน้าสู่ถนนสายมิตรภาพ ชื่อถนนมันช่างเหมาะกับทริปนี้จริงๆ เราอยู่บนถนนมิตรภาพ มิตรภาพ กับการเดินทาง เกือบสามชั่วโมง ในที่สุดเราก็มาถึงหมุดหมายแรก ศูนย์เรียนรู้ประวัติศาสตร์เขาใหญ่ ตั้งอยู่ในโรงเรียนบ้านปรางคล้า อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับเยาวชน นักท่องเที่ยวและประชาชน ได้ทำความรู้จักกับพื้นที่เขาใหญ่มากขึ้น โดยมีเหล่ามัคคุเทศก์น้อยคอยทำหน้าที่ให้คำแนะนำผู้ที่มาเยี่ยมเยือน ซึ่งได้รับการพัฒนาและสนับสนุนจากมูลนิธิอิ่มอก อิ่มใจ
ภายในศูนย์แบ่งเรื่องราวออกเป็นฐานการเรียนรู้ต่างๆ อาทิ ฐานความหลากหลายทางชีวภาพของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ , ฐานเขาใหญ่ต้นกำเนิดลำตะคอง, ฐานผ่านศรัทธาแห่งเจ้าพ่อเขาใหญ่ , ฐานประวัติความเป็นมาของดงพญาไฟ และฐานเขาใหญ่กับพระบรมโพธิสมภาร…คณะครูและเด็กๆมัคคุเทศก์ตัวน้อยรอยืนต้อนรับพร้อมเวลคัมดริ้งน้ำข้าวโพดสดพร้อมด้วยขนมไทย
จากนั้นทีมฯได้นำคณะผู้สื่อข่าวในฐานะนักท่องเที่ยวทริปนี้เข้าชมวีดีทัศน์ และฟังบรรยายความเป็นมาของเขาใหญ่ จากดงพญาไฟสู่ดงพญาเย็น ความหลากหลายสายพนธุ์พืช และสัตว์ป่าน้อยใหญ่นานาชนิด ต่อด้วยการนำชมป่าเขาใหญ่คอนกรีตที่สร้างสรรค์ความเป็นธรรมชาติป่าไว้บนผนังปูนภายในศูนย์การเรียนรู้ โดยถูกแบ่งเป็นฐานศึกษาธรรมชาติเขาใหญ่ไว้หลายฐาน และมีมัคคุเทศก์น้อยยืนคอยให้ความรู้ประจำแต่ละฐาน
และที่ประทับใจมากที่สุดคือ มัคคุเทศก์ตัวน้อยสามารถพูดได้ถึงสามภาษา ไทย จีน และภาษาอังกฤษ จากที่สอบถามเด็กๆอยู่ประมาณชั้นป.3 ขึ้นไป นั่นหมายถึงความเอาใจใส่ของคุณครูผู้สอนได้เป็นอย่างดี หลังจากเดินป่า พร้อมความรู้แน่นๆ จากมัคคุเทศก์ตัวน้อย ท้องเริ่มร้องบอกเป็นนัยๆว่าได้เวลาเติมพลังกันแล้ว
เราเดินทางออกจาก โรงเรียนบ้านปรางคล้า ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงร้านอาหาร “เป็นลาว” เที่ยงกว่า ได้เวลาเติมพลังพอดี ร้านเป็นลาว เป็นร้านอาหารไทย-อีสาน ตั้งอยู่บนถนนธนะรัตน์ ก่อนทางขึ้นอุทยานเขาใหญ่ ร้านนี้แทรกกายภายใต้ธรรมชาติต้นไม้น้อยใหญ่ปกคลุมให้ความร่มรื่น มีพื้นที่จอดรถาะดวกสบายภายในร้านกว้างขวาง สะอาดโอ่โถง รองรับลูกค้าได้จำนวนมาก
พูดถึงเรื่องอาหาร ร้านนี้ขอบอกอร่อยทุกอย่างอันนี้ไม่ได้อวยนะครับ (ผมว่าลิ้นใครลิ้นมัน) แต่โดยส่วนตัวผมถือว่าผ่านทุกอย่าง ต้องมาซ้ำอีกแน่ๆๆ สำหรับรายการอาหารมื้อนี้มีหลากหลายเมนู ได้แก่ ส้มตำไทย ตำหลวงพระบาง เนื้อย่าง ไส้ทอด ปีกไก่ทอด ไก่ย่าง ลาบปลาดุก คอหมูย่าง ต้มแซ่บ ฯลฯ และน้องใหม่เมนูล่าสุดของทางร้าน ไก่ต้มน้ำปลา ปิดท้ายด้วยของหวาน ทับทิมกรอบ มะยงชิดลอยแก้ว และลอดช่องแตงไทย ร้านนี้อาหารออกไวมาก การจัดการดีมาก นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวเขาใหญ่ ผมอยากแนะนำให้มาลิ้มรสอาหารที่ร้าน “เป็นลาว” รับรองไม่ผิดหวัง ต้องมาซ้ำแน่นอน
หลังจากอิ่มหนำสำราญกับอาหารร้านเป็นลาว เราเดินทางลัดเลาะตามเส้นทางเล็กมาพักผ่อนหย่อนพุงก่อนจะไปเข้าที่พักกับร้านลับ เส้นทางเล็ก ในป่าลึก(ไม่มาก) ร้าน EL Café Khaoyai (เอล คาเฟ่ เขาใหญ่) เป็นร้านกาแฟเล็กๆสีขาวตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ มองออกไปสุดสายตาเห็นขุนเขาล้อมรอบช่างเป็นเวลาพักผ่อนหย่อนพุงที่สามารถฮีลใจได้เป็นอย่างดี ร้านนี้มีพื้นที่กว้างขวาง มีทั้งโซนห้องแอร์ และ ธรรมชาติ (out door) มีเครื่องดื่มหลากหลายไว้บริการ ผมสั่งลาเต้ร้อน (ลืมตัว) เพราะอากาศก็ร้อน แต่ก็ไม่ผิดหวังเพราะรสชาติกาแฟถือว่าผ่าน
ที่ร้านนี้ผมมีโอกาสได้นั่งสนทนากับ คุณพันชนะ วัฒนเสถียร (นายกสมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่ (พี่เตเต้)) พี่เตเต้เล่าว่า ปัจจุบันเขาใหญ่มีความเจริญมากผู้คนต่างพื้นที่ต่างเข้ามาจับจองสร้างอาคารบ้านเรือน โรงแรม รีสอร์ท มากมาย ล่าสุดก็จะมีการสร้างโรงพยาบาลขนาดใหญ่หลายสิบเตียงไว้รองรับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่าพี่เตเต้บอกว่าน่าจะเป็นเรื่องของน้ำ เพราะเขาใหญ่ยังใช้น้ำบาดาลเป็นหลัก ซึ่งน่าเป็นห่วงมาก ปริมาณกับความต้องการมันจะสวนทางกัน
ขณะที่ทางสมาคมเองก็พยายามเดินเรื่องผลักดันถึงเรื่องการวางระบบประปามาโดยตลอดหากแต่ยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร พอได้ฟังถึงตรงนี้มันทำให้ผมในฐานะนักท่องเที่ยวคิดไปไกลว่าหากวันนึงเขาใหญ่ไม่มีน้ำจะเป็นอย่างไร ผมจึงอยากวิงวอนฝากถึงหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องลงมาดูแลเรื่องระบบประปานี้มันก็เพื่อประโยชน์ของชาวเขาใหญ่ รวมถึงนักท่องเที่ยว และการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวที่จะไม่ต้องมาแก้ปัญหาน้ำขาดแคลนในอนาคต “วันนึงหากเปิดก๊อกแล้วไม่มีน้ำไหลซักหยด” เราคุยกันกำลังออกอรรถรส หากแต่ต้องหยุดลงก่อน (พี่เต้ไว้คุยกันต่อมื้อเย็น) เพราะได้เวลาต้องเดินทางต่อเพื่อไปเช็คอินเข้าที่พัก “Maya Luxury Glamping”
“Maya Luxury Glamping” เป็นที่พักสไตล์แคมป์ปิ้ง ยกพื้นสูงมีเต้นท์กางไว้ให้เรียบร้อย มีห้องน้ำแยกโซนด้านนอกต่างหากให้ความสะดวกสบาย ภายในเต้นท์กว้างขวางมีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครันอาทิ พัดลม เครื่องทำความเย็น ที่นอนก็มีทั้งแบบนอนเตียง แบบพื้นราบ ห้องเดี่ยว ห้องคู่ รูปแบบเต้นท์ที่พักสวยงามมีให้เลือกหลายหลายแบบตามสไตล์แต่ละคน มีบริเวณพื้นที่ส่วนกลางสำหรับจัดกิจกรรมรอบกองไฟอุปกรณ์พร้อม เราแยกย้ายเข้าเต้นท์ที่พักผ่อนตามอัธยาศัย บางคนเลือกนอนพัก บางคนไปขี่รถ ATV บางคนก็ไปพายเรือคายัค บางคนก็ไปเดินถ่ายรูปมุมต่างๆ มีมุมถ่ายรูปให้เช็คอินกันไม่ซ้ำแบบเลยทีเดียว
และแล้วก็ได้เวลามื้อเย็น เย็นนี้เราฝากท้องไว้กับร้านอาหาร “บ้านเธอ” เป็นร้านอาหารที่เหมือนกับเรามาบ้านเพื่อน สไตล์อาหารก็จะเป็นประเภทตามใจเชฟ เป็นอาหารพื้นบ้านทั่วไป อาทิ ไข่เจียว ไข่พะโล้ ผัดกะพเรา ผัดบวบใส่ไข่ ฯลฯ รับรองว่าอร่อยทุกอย่าง แต่วันนี้ทางร้านมีเมนูพิเศษหมูกะทะบ้านเธอเมนูยอดฮิตของใครหลายๆคน ร้านนี้เป็นกันเองมากอยากกินอะไรสั่ง แต่ต้องดูว่ามีวัตถุดิบหรือป่าวน๊า555
และในวันที่เราไปทางร้านมีการสาธิตการทำอาหารจากเชฟ..สมคิด สอนดี โดยใช้น้ำมัน..’สุรินี’ น้ำมันรำข้าวหอมมะลิสุรินทร์ จุดเริ่มต้นของสุขภาพที่ดี ผ่านการ Craft พิถีพิถันใส่ใจในทุกรายละเอียด จากภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สืบทอดมายาวนาน ไปจนถึงกระบวนการคัดเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพการผลิตที่สะอาด ปลอดภัย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและชุมชน ด้วยคุณภาพและมาตรฐานการผลิตระดับสากล ‘สุรินี’ ดีต่อสุขภาพและหัวใจ ปราศจากไขมันทรานส์และคอเลสเตอรอลนอกจากนี้ยังมีเก็กฮวยมีฟองจากร้าน..Hob beer house มาคอยบริการอีกด้วย
หลังจากอิ่มหนำสำราญเรียบร้อยก็เดินทางกลับที่พักหวังจะมานอนนับดาว แต่พระเจ้าจ๊อดฟ้าปิดไม่เป็นใจไม่เห็นดาวซักดวง แต่ที่พอจะนับได้น่าจะเป็นเหรียญบาท เหรียญห้า เหรียญสิบที่มีพี่ตุ๊กพี่ใหญ่หัวหน้าทีมสอนวิธีนับกันข้ามคืน555 เวลาล่วงไปเกือบตี1 หวังจะเห็นหมู่ดาวส่องแสงเฉิดฉายเป็นกำลังใจกับการมานอนนับดาวสไตล์แคมป์ปิ้งครั้งนี้สุดท้ายเหลือพระจันทร์เพียงครึ่งดวงส่องแสงที่บางเบาส่งเราเข้านอนแทน
ตื่น ตื่น เป็นเสียงปลุกแทนเสียงไก่ขัน หรือเสียงนกร้องยามเช้าของชาวเราที่เดินทางร่วมทริปกันมาในครั้งนี้ 555 เป็นเวลาประมาณหกโมงเช้าเดินงัวเงียออกจากเต้นท์ พระเจ้าทั้งบรรยากาศ และอากาศดีมาก อากาศเย็นกำลังดี น้ำค้างลงจนพื้นเปียกไปหมด ทุกคนเริ่มทยอยตื่นหลังจากจัดแจงตัวเองเรียบร้อยก็ออกมาเก็บภาพบรรยากาศ จนพระอาทิตย์ส่องแสง เราก็โบกมือลา Maya Luxury Glamping แม้ว่าจะไม่ได้นับดาวแต่ก็ประทับใจ
เรามาซ้ำอาหารเช้าที่เดิม “ร้านบ้านเธอ” มื้อเช้านี้ มีทั้ง ข้าวเหนียวหมูปิ้ง ปาท่องโก๋ ข้าวต้มหมู พร้อมด้วยไข่ต้ม ปิดท้ายด้วยผลไม้สดใหม่ และที่พลาดไม่ได้ แตงโมแช่เย็นหวานฉ่ำ (เมื่อวานเย็นลืมเสริฟ555) เลยยกมาเสริฟเช้านี้แทน ข้าวต้มหมูอร่อยมาก อันนี้ก็ไม่ได้อวยอีกแหละ เพราะปกติผมเป็นคนไม่กินข้าวต้มเครื่องแต่บ้านเธอทำได้ประทับใจ ซึ่งทางร้านจะแยกน้ำซุป กับ ข้าว จะไม่ต้มรวมกันทำให้ข้าวไม่เละบานเต็มหม้อ อร่อยครับ
หลังจากอิ่มอร่อยกับมื้อเช้าหมุดหมายต่อไปตามกำหนดการณ์ คาดว่าน่าจะต้องออกแรงใช้พลังกันแน่ๆ เราเดินทางมาที่ไร่องุ่น “ไร่กราน-มอนเต้ อ.ปากช่องจ.นครราชสีมา” เพื่อมาสัมผัสประสบการณ์ที่หนึ่งปีมีครั้งเดียวกับเทศกาลเก็บเกี่ยวองุ่นไวน์เขาใหญ่ ประจำปี 2567 ทั้งนี้ ไร่องุ่นไวน์กราน-มอนเต้ ได้จัดกิจกรรมพิเศษ GranMonte Sunday Harvest Brunch “ความเป็นเลิศของอาหารท้องถิ่นและไวน์ไทย”
ดื่มด่ำไปกับการเรียนรู้เรื่องบ่มไวน์ เก็บเกี่ยวองุ่นไวน์ในไร่ เกมส์แข่งขัน พร้อมไวน์และของทานเล่น และลิ้มรสความเป็นเลิศของอาหารท้องถิ่นและไวน์ไทย ในธีม ‘Homegrown Excellence’ โดยเหล่าแม่ทัพเชฟเลือดอีสานร้านอาหารชื่อดัง ที่ได้รับการยอมรับจากมิชลิน ไกด์ ประเทศไทย สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อแมทช์กับไวน์ชั้นเลิศของกราน-มอนเต้ ที่ปลูกและผลิตไทย 100% และขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสต์
ภายในงานได้รับเกียรติจาก คุณวิสุทธิ์-คุณสกุณา โลหิตนาวี เจ้าของไร่และผู้ก่อตั้ง รวมไปถึงไวน์เมกเกอร์หญิงคนแรกของเมืองไทย คุณนิกกี้-วิสุตา โลหิตนาวี และ คุณมีมี่-สุวิสุทธิ์ โลหิตนาวี ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นและเป็นกันเอง พร้อมทั้งร่วมนำทำกิจกรรมต่างๆ อย่างสนุกสนาน สำหรับกิจกรรมตัดองุ่นครั้งนี้มีทีมลงสมัครร่วมแข่งขันกว่า 30ทีม ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ เปิดเวทีต้อนรับผู้เข้าแข่งขันด้วยเวลคัมดริ้งเป็นน้ำองุ่นสดจากไร่และสปาร์คกลิ้งไวน์รสชาติดีให้การต้อนรับ
หลังจากทุกทีมลงทะเบียนเสร็จ กรรมการอธิบายกติกาเรียบร้อยก่อนการแข่งขันจะเริ่ม ได้รับเกียรติ์จากคุณคุณวิสุทธิ์ โลหิตนาวี กล่าวเปิดกิจกรรมโดนเล่าถึงความเป็นมาของไร่องุ่น และจุดประสงค์ของการจัดกิจกรรมพิเศษในครั้งนี้ หลังจากนั้นผู้เข้าแข่งขันเข้าประจำที่ต้นองุ่นที่แต่ละทีมเลือกจับจองกันเอาไว้ และซักซ้อมขั้นตอนการตัดองุ่น รวมถึงสิ่งที่ห้ามมองข้ามโดยเด็ดขาดคือ “ความปลอดภัย” ของผู้เข้าแข่งขันเนื่อจากกรรไกรตัดกิ่งองุ่นนั้นมีความคมมาก
หลังจากซักซ้อมเป็นที่เรียบร้อย กรรมการให้สัญญาณเริ่มการแข่งขันทุกทีมมีเวลาในการตัดทั้งหมด 10 นาที ใครตัดได้มากที่สุดเป็นผู้ชนะ ทุกทีมต่างเร่งตัดกันด้วยความสนุกสนานมากบ้างน้อยตามความสามารถ 10 นาทีผ่านไปไวเหมือนโกหกกรรมการเป่านกหวีดหมดเวลาทุกทีมวางกรรไกร และให้นำพวงองุ่นที่ตัดได้มาชั่งน้ำหนัก จากคนเมืองสู่ชาวไร่ไม่ทำให้การจัดกิจกรรมครั้งนี้ผิดหวังแต่ละทีมชั่งได้ตั้งแต่สิบกว่ากิโลกรัมขึ้นไปจนถึงยี่สิบกว่ากก. ซึ่งถือว่าไม่ธรรมดาสำหรับมือใหม่หัดตัด ขณะที่กติกาครั้งนี้ทีมไหนได้น้ำหนักมากที่สุดเป็นผู้ชนะ กรรมการชั่งมาจนถึงตะกร้าสุดท้ายหลายทีมช่วยกันลุ้น น้ำหนักที่ได้ 33.3 กิโลกรัม ทะลุ 30กก. ถือว่ามากที่สุดของการแข่วขันในในนี้
เราได้ผู้ชนะการตัดองุ่นครั้งนี้เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งเป็นทีม น้า-หลานที่มาจากกรุงเทพฯ ชื่อทีม “อ่อนนุช” คนกรุงนี่ก็ไม่ธรรมดาจริงๆ จากนั้นก็มาต่อกันที่กิจกรรมเพ้นท์ขวดไวน์ โดยผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมนี้จะได้รับไวน์ 1 ขวดต่อท่าน ที่ทำจากองุ่นที่ได้เก็บด้วย (ใช้เวลาทำประมาณ 2 ปี ขึ้นอยู่กับพันธุ์องุ่น) พร้อมเข้าชมขั้นตอนวิธีการผลิตไวน์
เสร็จจากกิจกรรมก็ได้เวลาอาหารเที่ยงพอดี ในครั้งนี้ทุกท่านที่เข้าร่วมกิจกรรมจะได้สัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษ GranMonte Sunday Harvest Brunch โดยเชฟชุมพล แจ้งไพร , เชฟไอซ์-ภาณุพงษ์ วิจิตรานนท์ จากร้าน “เป็นลาว หัวหิน” และเชฟติ๊ง-สมคิด สอนดี เชฟสร้างสรรค์ แห่ง “ออน เดอะ พลาโต” มารังสรรค์เมนูสุดพิเศษ ได้แก่ สลัดผักเขาใหญ่กุ้งย่างกับน้ำพล่าในความทรงจำ , ต้มยำกุ้งสมุนไพรไก่โคราชกับขนมปังกรอบ , เนื้อวากิวโคราชย่างผงลาภแซ่บกับแจ่วปลาร้าหอม เสริฟคู่กับผักดองสามรสและผัดหมี่โคราช ปิดท้ายด้วย ทับทิมกรอบมะพร้าวอ่อนน้ำกะทิเกร็ดน้ำแข็ง ปิดทริป “เขาใหญ่สัญจร นอนนับดาว ตัดองุ่น จิบไวน์” ได้ความรู้ เติมความสุข สนุกตลอดทริป
ขอขอบคุณผู้ใหญ่ใจดี สมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่, ร้านเป็นลาว (ออน เดอะ พลาโต), Silver Voyage Club, Granmonte, Maya Luxury Glamping, ชมรมผู้ประกอบการร้านอาหารอำเภอปากช่อง, ชมรมฮักเขาใหญ่ ตลอดทริปการเดินทางในครั้งนี้ รวมถึงพี่หนุ่ม และเพื่อนโชเฟอร์รถตู้ที่ขับรถพาคณะเดินทางถึงที่หมายด้วยความสวัสดิภาพปลอดภัยตลอดทริปการเดินทาง