สสส. สานพลังภาคีเครือข่าย จัดกิจกรรมวันต่อต้านยาเสพติดโลก เปิดใจอดีตคนเคยก้าวพลาด ชีวิตพังก่อนผันตัวทำจิตอาสา ดึงเด็ก-เยาวชน พ้นขุมนรก สสส. เผยคนไทยเสพกระท่อม 1.9 ล้านคน กัญชา 1.5 ล้านคน ยาบ้า 1.5 ล้านคน ห่วงกลุ่มนักเสพใหม่ใช้สารเสพติดผสมหลายตัว ทำสุขภาพทรุด โรคแทรกซ้อน ภาคประชาสังคมปลุกพลังชุมชนร่วมสู้ ให้โอกาสผู้พลั้งผิด ชงเร่งคลอดกฎหมายควบคุมกัญชาเป็นวาระเร่งด่วน
เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2568 ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร มูลนิธิศูนย์วิชาการสารเสพติด มูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม เครือข่ายองค์กรงดเหล้า มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเสวนา “บทเรียนชุมชน-คนชนะใจ สู้ภัยยาเสพติด” เนื่องในวันต่อต้านยาเสพติดโลก ซึ่งตรงกับวันที่ 26 มิ.ย. 2568 ของทุกปี

ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า จากงานวิจัยประมาณการจำนวนประชากรผู้ใช้สารเสพติดของไทย ปี 2568 โดยศูนย์วิทยาการสารเสพติด คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล พบคนไทยใช้กระท่อม 1.9 ล้านคน ใช้สารเสพติด 1.6 ล้านคน ใช้กัญชา 1.5 ล้านคน ใช้ยาบ้า 1.5 ล้านคน มีผู้ที่ควรเข้ารับการบำบัด 330,000 คน และมีปัญหาสุขภาพจิต 220,000 คน
ที่น่าห่วงข้อมูลในปี 2567 พบมีผู้ใช้สารผสม 21,000 คน เป็นกลุ่มใหม่ที่มีความเสี่ยงสูงที่ต้องได้รับการบำบัดรักษาเฉพาะเจาะจง เพราะมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพที่รุนแรง และยากต่อการจัดการผลกระทบจากสารเสพติดหลายชนิดที่ทำปฏิกิริยาต่อกัน
“สสส. ขอสะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของคนตัวเล็กๆ ที่พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อคนอื่นและสังคมให้ปลอดภัยจากปัญหายาเสพติด การลุกขึ้นสู้ของชุมชน โดยมีองค์กรภาคีเครือข่ายเป็นกลไกเชื่อมประสานให้คนที่เคยก้าวพลาดผิดให้ลุกขึ้นมาสื่อสารกับสังคมไทย ส่งต่อพลังและแบ่งปันบทเรียนชีวิตสร้างความเข้าใจ กระตุ้นสังคมให้ร่วมกันป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ไม่ให้เกิดผู้เสพรายใหม่ เพื่อนำไปสู่ครอบครัวและสังคมที่ปลอดภัย และสร้างพื้นที่แห่งโอกาสที่ยอมรับ” รองผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าว
นายวัชรพงศ์ พุ่มชื่น มูลนิธิศูนย์วิชาการสารเสพติด กล่าวว่า จากสถานการณ์วิกฤตสารเสพติดและพืชเสพติด ทั้งใบกระท่อม และกัญชา จึงมีข้อเสนอที่เร่งด่วน ขอให้รัฐสภา และรัฐบาล พิจารณา ร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ที่เสนอโดยเครือข่ายภาคประชาสังคม เครือข่ายเยาวชน นักวิชาการ และประชาชน ร่วมลงชื่อ 20,283 รายชื่อ เพื่อให้กัญชา กัญชง ใช้เฉพาะประโยชน์ทางการแพทย์ ยุติภาวะเสรีกัญชา ฟื้นภาพลักษณ์ที่ดีของไทย และปกป้องเด็ก เยาวชน กลุ่มเปราะบาง ให้มีอนาคตและสุขภาพที่ดี
ส่วนการแก้ไขในระยะยาวคือ 1.ให้ความสำคัญการป้องกัน เฝ้าระวัง และสร้างนิเวศที่ดี เพื่อป้องกันผู้เสพรายใหม่ โดยชุมชนสามารถสร้างสรรค์การทำงานตามบริบทและต้นทุนที่มี 2.ขอให้หน่วยงานภาครัฐ และรัฐบาล สนับสนุนการทำงานของประชาชน ชุมชนในทุกมิติ ช่วยเสริมพลังประชาชน ชุมชนท้องถิ่น ที่มีใจอาสาทำงานเพื่อสังคม เพื่อกระจายทุน ทรัพยากร องค์ความรู้ และอำนาจ ส่งเสริมให้มีส่วนร่วมช่วยป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด

นายไสว อยู่หลาย แกนนำเครือข่าย ต.หนองโสน อ.เมือง จ.เพชรบุรี กล่าวว่า ตนอยู่ในวงจรยาเสพติดกว่า 10 ปี ผันชีวิตมาเป็นแกนนำเฝ้าระวังและปกป้องเด็ก เยาวชนจากยาเสพติดในพื้นที่ โดยร่วมกับนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองโสน กำนันตำบล ผู้ใหญ่บ้าน และหน่วยงานสุขภาพ รพ.สต.หนองโสน อสม. และได้รับการสนับสนุนจาก สสส. ร่วมกันสร้างชุมชนให้ปลอดภัยจากยาเสพติด ในตำบลมีคนพร้อมปรับเปลี่ยนตัวเอง 52 คน เฉพาะในหมู่บ้านมี 20 คน ที่เปิดใจเดินเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูโดยสมัครใจ ซึ่งผลการทำงานดีทำให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เขต 5 ราชบุรี จะนำบทเรียนไปขยายผลสู่พื้นที่อื่น
นายอัสรี พิกุลจร เยาวชนนักวิ่งเพื่อสุขภาพและฟื้นฟูตัวเอง จ.ปัตตานี กล่าวว่า ตนเริ่มสูบบุหรี่ ลองยาเสพติด 4 x100 ทดลองกัญชา ตั้งแต่ชั้นม. 4 จนเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ติดเพื่อน ขาดเรียนบ่อยจนต้องออกจากมหาวิทยาลัย พอออกมาทำงานเจอเพื่อน ก็เริ่มกลับเข้าสู่วงจรการเสพหนักขึ้นอีก และเริ่มเสพยาบ้า ที่บ้านส่งไปบำบัดที่โรงเรียนปอเนาะ จ.กระบี่ แต่ก็กลับเข้าวงจรเสพเหมือนเดิม

สุดท้ายพ่อป่วยและเสียชีวิตจากโรคหัวใจตีบที่น่าจะมีสาเหตุมาจากบุหรี่ ส่วนตนต้องถอนฟันหลายซี่เพราะผลจากยาเสพติด มีปัญหาไตเสื่อม จึงตั้งใจเลิกอย่างจริงจัง ครอบครัวพาออกจากสภาพแวดล้อมเดิมๆ ใช้เวลา 3 เดือน กินอาหารดี ออกกำลังกาย ทำให้การทำงานของไตดีขึ้น สุขภาพดีขึ้น ปัจจุบันเข้าสู่วงการนักวิ่งได้เหรียญรางวัล และได้ก่อตั้งทีมชื่อว่า “มาวิ่งกันปะนาเระ” รวมคนก้าวพ้นปัญหายาเสพติด และรณรงค์ร่วมกับ สสส. ป้องกันไม่ให้คนเป็นเหยื่อยาเสพติด
นายเอ (นามสมมุติ) เยาวชนจากศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก กล่าวว่า ตนอยู่กับครอบครัว ที่พ่อติดหนี้การพนัน ต้องเอาบ้านไปจำนองมาใช้หนี้ และต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัดเพื่อหาเงินมาใช้หนี้ ส่วนพี่ก็ไปอยู่กับญาติ ส่วนตนอยู่กับน้าจนอายุ 13 ปี ก็เริ่มเข้าร้านเกมกับเพื่อนๆ มีรุ่นพี่พาเข้าวงจรส่งยาเสพติด ทำง่าย ได้เงินง่าย แต่ไม่ได้เสพ เพราะเคยเห็นคนเสพยาแล้วคลั่งจึงกลัว
ทำได้ 4 ปี ก็ถูกตำรวจจับตอนอายุ 17 ปี เข้าสู่สถานพินิจ และส่งมาอยู่ที่บ้านกาญจนาฯ ซึ่งการอยู่ที่นี่ได้ทำกิจกรรมหลากหลาย มีการอบรม ฝึกให้คิด มีทักษะชีวิต ทำกิจกรรมจิตอาสา ดูหนังวิเคราะห์ข่าว ได้เล่นดนตรี ทำให้รู้ว่า ตัวเองชอบเล่นดนตรีมาก และมีความใฝ่ฝัน อยากเป็นนักดนตรี นักแต่งเพลง จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอีก ขอฝากถึงเพื่อนๆ น้องๆ ว่าอย่าไปเข้าใกล้ยาเสพติดเลย ไม่มีอะไรดีกับชีวิต มีแต่เสียกับเสีย

นายจักรพงษ์ เสือผ่อง ชุมชนวัดสวัสดิ์วารีศรีมาราม เขตดุสิต กรุงเทพฯ กล่าวว่า ตนอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีการใช้ยาเสพติด จึงได้ลองเสพและค้าไปด้วยตั้งแต่อายุ 16 ปี ตนเคยมีแฟน มีลูกด้วยกัน 1 คน แต่เลิกกันไป ส่วนลูกส่งไปอยู่กับญาติ ต่อมามีแฟนคนที่ 2 และมีลูกด้วยกันอีก มีติดคุกบ้าง แฟนก็เตือน แต่ไม่ฟัง จึงทะเลาะกันบ้าง แต่ที่ตัดสินใจเลิกยาเสพติดเพราะลูกๆ เริ่มโต ไม่อยากให้ลูกอายที่มีพ่อแบบตน
และโชคดีที่แฟนไม่ทิ้งไปไหน อดทนประคับประคอง รวมถึงผู้ใหญ่ในชุมชนช่วยเหลือ ให้โอกาสจนสุดท้ายเลิกยาได้ ผันตัวมาเป็นจิตอาสาคอยตักเตือน ให้ความรู้กับคนในชุมชนถึงอันตรายจากสารเสพติด ใครที่ติดยาเสพติดก็ชวนเข้าสู่การบำบัด ทั้งการเสพและขายเป็นวงจรที่อุบาทว์ที่สุด อยากให้กำลังใจคนที่เคยพลาด ต้องสร้างสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจจึงจะเลิกได้สำเร็จ