กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) จับมือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ติดอาวุธเอสเอ็มอี พร้อมปรับตัวทำตลาดแบบใหม่ เพิ่มช่องทางการขายสินค้าผ่านตลาดออนไลน์ ตั้งเป้าหมาย 30 กิจการ คาดเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท
นายภาสกร ชัยรัตน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า ปัจจุบันการค้าแบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-commerce) ถือว่าเป็นตลาดที่มีอิทธิพลในการหมุนเวียนแลกเปลี่ยนเงินตราในระบบเศรษฐกิจของประเทศ จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาของเทคโนโลยี ที่สอดรับกับการเข้าสู่ยุคดิจิทัล โดยจากสถิติในปี พ.ศ. 2560 – 2561 พบว่ามูลค่ายอดขาย e-commerce ในประเทศไทยเติบโตกว่าร้อยละ 14 มีมูลค่ายอดขายในปี พ.ศ. 2561 พุ่งสูงกว่า 3.2 ล้านล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลให้มีผู้สนใจทั้งผู้ประกอบการเดิมและผู้ประกอบการใหม่เข้ามาทำการตลาดออนไลน์อีคอมเมิร์ซเพิ่มมากขึ้น ซึ่งทำให้เกิดการแข่งขันในตลาดดังกล่าวอย่างเข้มข้น
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) เล็งเห็นถึงความสำคัญในการเพิ่มศักยภาพและเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านการตลาดออนไลน์อีคอมเมิร์ซ ให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จัด “กิจกรรมยกระดับ SME สู่ Global ด้วยการตลาดออนไลน์ e-commerce” เพื่อพัฒนาความรู้ด้านอีคอมเมิร์ซ และเพิ่มศักยภาพเอสเอ็มอีให้มีช่องทางการทำตลาดออนไลน์อีคอมเมิร์ซ และมียอดขายเพิ่มขึ้นบนต้นทุนที่ไม่สูงสามารถสร้างรายได้และผลกำไรให้กับธุรกิจเกิดการขยายธุรกิจให้เข้มแข็งและเติบโตต่อไป ซึ่งประโยชน์ดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการไทยทำให้เกิดการขยายตัวทางด้านการค้าและการลงทุนในประเทศอย่างต่อเนื่องช่วยให้ฐานเศรษฐกิจของประเทศมีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป
“การเตรียมความพร้อมเพื่อจะเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 และสามารถแข่งขันกับตลาดในปัจจุบันได้ เอสเอ็มอีจำเป็นต้องได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากภาครัฐให้เกิดแนวทางการทำการตลาดแนวใหม่บนโลกออนไลน์ ซึ่งมีทิศทางการเติบโตอย่างรวดเร็วโดยอาศัยแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรูปแบบต่างๆเป็นเครื่องมือในการทำการตลาดในครั้งนี้เราได้จัดวิทยากรผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ให้คำปรึกษาพร้อมทั้งแนะนำเทคนิค กลยุทธ์ในการทำตลาดออนไลน์ระดับสากลที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มรายได้จากช่องทางการตลาดออนไลน์ อีคอมเมิร์ซ มีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เป็นภาคการผลิต หรือ ภาคการค้า หรือ ภาคบริการ จำนวน 30 กิจการ ซึ่งคาดว่าหลังจบโครงการจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพเพิ่มยอดขาย ได้ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 10 คาดเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท” นายภาสกร กล่าวทิ้งท้าย