สวทช. ร่วมกับ ม.แม่โจ้ พัฒนาแหล่งเรียนรู้ มุ่งเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ เพื่อถ่ายทอดสู่ชุมชน

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมมือกับ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ในโครงการ “การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีเกษตรและเกษตรอัจฉริยะ เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ชุมชน” ด้วยการพัฒนาองค์ความรู้ หลักสูตร แหล่งเรียนรู้ และความร่วมมือวิชาการในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม มุ่งเน้นด้านเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) ยกระดับประสิทธิภาพการผลิตของภาคการเกษตรไทย

โดยภายใต้งานประชุม สวทช.-วิทย์สัญจรภาคเหนือ ประจำปี 2563 ได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมตัวอย่างความร่วมมือจำนวน 2 ผลงาน คือ ผลงานเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะที่แปลงวิจัยลำไย ที่ได้ทดสอบใช้งานเทคโนโลยีสถานีตรวจวัดสภาพอากาศเพื่อการเกษตร และระบบการให้น้ำอัตโนมัติสำหรับพืชไร่และพืชสวน ผ่าน Smart IoT และอีกผลงานคือ แปลงทดสอบผลิตมะเขือเทศสายพันธุ์ใหม่ของ สวทช. ในระบบเกษตรอินทรีย์

       ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. เปิดเผยว่าสวทช. โดยสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตร (สท.) ดำเนินงานให้บริการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตรแบบครบวงจร ภายใต้การทำงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้เกิดการปฏิรูปภาคเกษตรด้วยเทคโนโลยีและพัฒนาความเข้มแข็งของชุมชน ลดความเหลื่อมล้ำ เชื่อมโยงสู่เศรษฐกิจชีวภาพ โดยนำผลงานวิจัยจาก สวทช. และพันธมิตรสู่การใช้งานจริงในพื้นที่ ผ่านการถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชุมชนอย่างทั่วถึง พร้อมทั้งพัฒนาบุคลากรด้านการเกษตรและชุมชนให้ก้าวทันเทคโนโลยี ตลอดจนเป็นแหล่งความรู้ที่เข้าถึงได้ง่ายและตอบโจทย์ความต้องการของเกษตรกรและชุมชน

ซึ่งการลงนามความร่วมมือในโครงการ “การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีเกษตรและเกษตรอัจฉริยะ เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ชุมชน” ระหว่าง สวทช. กับ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จะช่วยสร้างความเข้มแข็งในการพัฒนาองค์ความรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ด้านเทคโนโลยีเกษตรเพื่อยกระดับประสิทธิภาพการผลิตภาคการเกษตรของประเทศ รวมถึงจะร่วมกันพัฒนาแหล่งเรียนรู้ สาธิต และทดสอบเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งบูรณาการองค์ความรู้จากทั้งสองหน่วยงานและเครือข่ายพันธมิตร ตลอดจนพัฒนาหลักสูตรที่รองรับการเรียนรู้ในระดับภาคสนามและถ่ายทอดองค์ความรู้ด้าน วทน. สู่ชุมชน

ผศ.พาวิน มะโนชัย รักษาการแทนรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เปิดเผยว่ามหาวิทยาลัยแม่โจ้ เป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำที่มีความเป็นเลิศทางการเกษตรในระดับนานาชาติ ซึ่งเป้าหมายหนึ่งที่สำคัญคือ การสร้างและพัฒนานวัตกรรมและองค์ความรู้ในสาขาวิชาต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางการเกษตรและวิทยาศาสตร์ประยุกต์เพื่อการเรียนรู้และถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่สังคม ฉะนั้น การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ระหว่าง ม.แม่โจ้ กับ สวทช. นับเป็นเรื่องที่ดีที่ทั้งสองหน่วยงานจะบูรณาการร่วมกันดำเนินงานด้านวิชาการในรูปแบบต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการแลกเปลี่ยนและเสริมสร้างความรู้ ประสบการณ์ และข้อมูลทางวิชาการ ตลอดจนการจัดฝึกอบรมและสัมมนาเพื่อร่วมกันพัฒนาบุคลากรของทั้งสองหน่วยงาน เพื่อให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อยกระดับการผลิตในภาคการเกษตรของประเทศ

ด้าน น.ส.วิราภรณ์ มงคลไชยสิทธิ์ รองผู้อำนวยการ สวทช. และผู้อำนวยการ สท. กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายใต้ความร่วมมือของ สวทช. และ ม.แม่โจ้ มีแผนที่จะทดสอบและขยายผลเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ โดยในส่วนของฟาร์มเปิด จุดแรกคือแปลงวิจัยลำไย มีเทคโนโลยีของ สวทช. คือ เทคโนโลยีสถานีตรวจวัดสภาพอากาศแบบ IoT เพื่อการเกษตร โดยเนคเทค สวทช. และระบบควบคุมการให้น้ำอัตโนมัติสำหรับพืชไร่และพืชสวน ซึ่งได้นำ IoT มาประยุกต์ใช้บริหารจัดการแปลงลำไยให้ได้คุณภาพ และจุดที่สองคือ การผลิตภายใต้สภาพโรงเรือน

ซึ่งจะมีการทดสอบเทคโนโลยีโรงเรือนในรูปแบบต่าง ๆ ตั้งแต่ต้นทุนต่ำไปจนถึงโรงเรือนอัจฉริยะ ตลอดจนระบบการผลิตในระบบอินทรีย์ทั้งในส่วนการผลิตเมล็ด ผักสดและสมุนไพร โดยใช้สถานที่ที่ศูนย์การเรียนรู้การผลิตเมล็ดพันธุ์ผักเกษตรอินทรีย์ ม.แม่โจ้ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างทดสอบการผลิตมะเขือเทศสายพันธุ์ใหม่ของ สวทช. ซึ่งเป็นผลงานวิจัยและพัฒนาโดย ดร.อรวรรณ ชัชวาลการพาณิชย์ นักวิจัยไบโอเทค สวทช. ร่วมกับบริษัทที เค อาร์ แอนด์ ดี จำกัด โดยพัฒนาพันธุ์มะเขือเทศรับประทานสดผลเล็กพันธุ์ PC3 (A9) และ PC11 ที่ต้านทานโรคไวรัสใบหงิกเหลืองมะเขือเทศ ทดลองปลูกในระบบเกษตรอินทรีย์และเก็บข้อมูลผลผลิตเมล็ดพันธุ์ ซึ่งจะเป็นแหล่งผลิตและจำหน่ายเมล็ดพันธุ์อินทรีย์คุณภาพดี รวมถึงให้ความรู้ในการผลิตให้แก่เกษตรกรที่สนใจ

ผศ.ดร.วินัย วิริยะอลงกรณ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาพืชสวน คณะผลิตกรรมการเกษตร ม.แม่โจ้ กล่าวถึงเทคโนโลยีของ สวทช. ที่เข้าไปติดตั้งว่า เทคโนโลยีสถานีตรวจวัดสภาพอากาศแบบ Smart IoT เพื่อการเกษตร ติดตั้งระบบแม่ข่าย 1 จุด และลูกข่าย 10 จุด บนพื้นที่ 70 ไร่ ครอบคลุมแปลงลำไยและมะม่วง โดยแม่ข่าย ประกอบด้วย เซนเซอร์วัดอุณหภูมิอากาศ เซนเซอร์วัดความชื้นอากาศ เซนเซอร์วัดความเข้มแสง เซนเซอร์วัดความชื้นดิน อุปกรณ์วัดความเร็วลม อุปกรณ์วัดปริมาณน้ำฝน ขณะที่ลูกข่าย ประกอบด้วย เซนเซอร์วัดอุณหภูมิอากาศ เซนเซอร์วัดความชื้นอากาศ เซนเซอร์วัดความเข้มแสง และเซนเซอร์วัดความชื้นดิน

ซึ่งข้อมูลจากระบบฯ ใช้ติดตามสภาพอากาศและสภาวะแวดล้อมเพื่อช่วยบริหารจัดการแปลงปลูกได้ ส่วนระบบควบคุมการให้น้ำอัตโนมัติสำหรับพืชไร่และพืชสวน ติดตั้งที่แปลงลำไย ใช้งานครอบคลุมพื้นที่ 1 ไร่ ซึ่งตนได้ใช้ข้อมูลจากงานวิจัยเรื่องลำไยที่ศึกษามากว่า 15 ปี เป็นตัวกำหนดโปรแกรมการให้น้ำอัตโนมัติ ผลจากการทดลองใช้ในช่วงปีที่ผ่านมา พบว่า การติดดอก การเจริญเติบโต และผลผลิตของลำไยที่ได้สมบูรณ์กว่าแปลงที่ให้น้ำแบบทั่วไป ผลผลิตลำไยเฉลี่ย 63 กิโลกรัม/ต้น (ทรงพุ่ม 3 เมตร) ซึ่งข้อมูลที่ได้มีการนำมาใช้ศึกษาเพื่อทำวิจัยและสอนนักศึกษา รวมถึงให้ความรู้กับเกษตรกรผ่านรายการวิทยุของมหาวิทยาลัยและการศึกษาดูงาน ทั้งนี้ได้วางแผนศึกษาวิจัยความเครียดของไม้ผลกับการให้น้ำ และการใช้ข้อมูลจากสถานีตรวจวัดสภาพอากาศร่วมกับการควบคุมการให้น้ำต่อไป

ด้านแปลงทดสอบสายพันธุ์มะเขือเทศ ผศ.ฉันทนา วิชรัตน์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาพืชผัก คณะผลิตกรรมการเกษตร ม.แม่โจ้ กล่าวเสริมว่าศูนย์การเรียนรู้การผลิตเมล็ดพันธุ์ผักเกษตรอินทรีย์ ม.แม่โจ้ เป็นอีกหนึ่งแปลงทดสอบการปลูกมะเขือเทศต้านโรคไวรัสใบหงิกเหลืองพันธุ์ PC3 (A9) และ PC11 โดยทดสอบผลิตเมล็ดพันธุ์และผลสดในโรงเรือนด้วยระบบเกษตรอินทรีย์ ซึ่งหลังจากทำการทดลองปลูกไปจนถึงช่วงผลมะเขือเทศสุก (fruit ripening) ในระยะเวลา 120 วัน พบว่า ทั้ง 2 สายพันธุ์รสชาติดี เนื้อแน่น นับเป็นสายพันธุ์มะเขือเทศสายพันธุ์ใหม่ที่จะเป็นทางเลือกแก่เกษตรกรและผู้บริโภค ทั้งนี้ศูนย์ฯ จะทำการผลิตและจำหน่ายเมล็ดพันธุ์อินทรีย์ที่มีคุณภาพให้แก่เกษตรกร รวมทั้งจัดหลักสูตรการผลิตเมล็ดพันธุ์อินทรีย์และผลสดเพื่อให้ความรู้แก่นักศึกษาและเกษตรกรที่จะใช้ประโยชน์เป็นอาชีพทางเลือก

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *