“หนองโสนโมเดล” เพชรบุรี กลไกการทำงานเชิงรุกเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดระดับตำบลมองผู้เสพอย่างเข้าใจ และให้โอกาส
สสส. ร่วมกับ มูลนิธิศูนย์วิชาการสารเสพติด มูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว ชุมชนลดปัจจัยเสี่ยง มูลนิธิชีววิถี ลงพื้นที่ดูงาน “หนองโสนโมเดล” เพชรบุรี เรียนรู้การทำงานเชิงรุกป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดระดับตำบล หวังเป็นแนวทางการทำงานในชุมชน มองผู้เสพอย่างเข้าใจ ให้โอกาส หยุดผู้เสพหน้าใหม่
เมื่อเร็วๆนี้ มูลนิธิศูนย์วิชาการสารเสพติด โดยการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ นำแกนนำชุมชนลดปัจจัยเสี่ยง มูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว มูลนิธิชีววิถี กว่า 70 ชีวิต เข้าแลกเปลี่ยนเรียนรู้การทำงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในชุมชน “หนองโสนโมเดล” โดยมีนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองโสน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตำรวจ และส่วนราชการในพื้นที่ให้การต้อนรับและร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยมีการนำผู้ที่เข้าร่วมโครงการทั้งผู้ที่ผ่านพ้นและผู้ที่อยู่ระหว่างลด ละ เลิก มาร่วมให้มุมมองในการทำงาน

นายยุทธนา เมืองเล็ก นายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองโสน อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี กล่าวว่า พวกเราเริ่มสนใจทำเรื่องการแก้ปัญหายาเสพติด เพราะ มองว่ามันเป็นอุปสรรคในการที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตในทุกมิติ และ ก็ไม่เคยถูกแก้ไข เรารู้ว่ามันยาก คนในชุมชนก็ตื่นกลัว…แต่ไม่ตื่นตัว จุดเริ่มจากเหตุการณ์ที่มีผู้ป่วยทางจิตเวชที่ใช้สารเสพติดมีอาการหวาดระแวงบ้านใกล้เคียง
ผู้เสพได้เอามีดดาบมาไล่ฟัน คนที่จะโดนฟันก็วิ่งหนีเข้าไปที่ศูนย์เด็กเล็ก ผู้ก่อเหตุก็ตามเข้าไปในศูนย์เด็กเล็ก เราคิดว่า ไม่ได้แล้วแบบนี้ เราจึงเริ่มปรึกษาหน่วยงานต่างๆ ซี่งในตอนนั้นเกือบครึ่งหนึ่งที่ไม่สนับสนุนเรา จนได้มารู้จักกับ ปปส. ภาค7 และ มูลนิธิศูนย์วิชาการสารเสพติด ที่ได้รับการสนับสนุนจาก สสส. ผู้กำกับ สภ.เมืองเพชรบุรี
ลองเอาโครงการชุมชนยั่งยืนของตำรวจมาลองใช้ในชุมชน และมีมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรีมาทำเรื่องยกระดับคุณภาพชีวิต รวมถึงหน่วยงานอื่นๆที่เราพอจะขอความร่วมมือได้ เราเริ่มจากการยอมรับมันก่อนว่ามันมีปัญหานี้อยู่จริง เพื่อที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหา

“แรกๆเราก็ลองผิดลองถูก ยังไม่มีเครื่องมือ ขาดงบประมาณ ลองเอากลไกการแก้ปัญหาที่เคยมีมาลองใช้ เราก็พบว่าพอทำจริงแล้ว กลไกมันไม่ได้เป็นไปตามนั้น เราพบว่าการต้องมีศูนย์บำบัด มีพื้นที่ และการนำผู้ที่ติดยาเสพติดออกจากครอบครัวมาบำบัด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเสาหลักของครอบครัว ก็ทำให้ครอบครัวนั้นเกิดปัญหาอื่นๆตามมา เช่น ไม่ได้ทำงาน ขาดรายได้ ไม่มีคนรับส่งลูกไปโรงเรียน ฯลฯ
เราจึงเกิดแนวคิดว่า จะให้เกิดกระบวนการบำบัดอยู่บ้านแล้วเจ้าหน้าที่ลงไปที่บ้านแทน โดย อสม.ในพื้นที่รู้อยู่แล้วว่าคนในชุมชนเป็นอย่างไร ใครใช้ ใครไม่ใช้ ยาเสพติด เราไม่เน้นไปที่การจับกุม ทำงานร่วมกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน รพ.สต. อสม. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นการปลูกต้นไม้ความปรารถนาดีในใจคุณ
เน้นไปที่การคุยกับผู้ป่วยและครอบครัว เอาความปรารถนาดีเข้าไปคุยเพื่อให้เกิดการ ลด ละ เลิก ที่ลดปริมาณการใช้ยาเสพติด หรือเป็นผู้ที่เลิกได้แล้ว เราพามาทำกิจกรรมต่างร่วมกัน จนถึงขั้นหางาน หาอาชีพให้ คนที่ลดปริมาณลงได้หรือผู้ที่ผ่านพ้นนั้นก็จะรู้สึกเหมือนภูมิใจที่ได้กู้ศักดิ์ศรีของตัวเองกลับมาได้ ทำให้เขารู้สึกมีคุณค่า แล้วเขาก็ไปบอกต่อกับกลุ่มเพื่อนที่เคยใช้ยาเสพติดด้วยกัน ว่าเราเลิกได้แล้ว
ปัญหาบางอย่าง ถ้าหาทางออกไม่ได้ เราก็ออกทางเข้า เหมือนกัน คนติดยาเพราะเพื่อนได้…เลิกยาก็เลิกเพราะเพื่อนได้เช่นกัน เขาได้ถูกปรับความคิด ได้การยอมรับจากคนในชุมชน ได้เห็นคุณค่าของตัวเอง เขาถูกปรับเปลี่ยนความคิดใหม่แล้ว แทบจะไม่มีโอกาสไปติดซ้ำอีก” นายยุทธนา กล่าว

ด้านนางใจแก้ว ศิลปศร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองโสน อ.เมือง จ.เพชรบุรี กล่าวว่าการทำงานเรื่องยาเสพติด พลิกแพลงมาจากโครงการชุมชนยั่งยืน คือการทำงานร่วมกับตำรวจ เอาผู้เสพทั้งหมดที่สมัครใจมาร่วมโครงการกับเรา เข้ามาพูดคุยให้คำแนะนำ ยังรวมถึงการส่งเสริมทักษะอาชีพ หากิจกรรมระยะเวลาตลอดโครงการ เพื่อให้พวกเขาห่างจากยาเสพติด เป็นการปลูกต้นไม้ในหัวใจ โอบกอด ให้โอกาส แต่ลำพัง รพ.สต. หรือ อสม. ก็ทำคนเดียวไม่ได้ ก็ได้ความร่วมมือจากฝ่ายปกครอง ทีมงานท่านนายก อบต.และการสนับสนุนจาก ปปส. และ สสส. เลยทำให้สามารถทำงานเชิงรุกได้
เชิงรุกคือการเข้าหาชุมชน ซึ่งการเข้าไปก็มีตำรวจเข้าไปด้วยและในเรื่องของสุขภาพทางกาย ทางใจ บางเรื่องมันละเอียดอ่อน มันต้องคุยต่อ เราเลยต้องมีคลินิกเพื่อนใจเข้ามาเพื่อรับฟัง ให้คำปรึกษาพวกเขาเหล่านั้น ซึ่งในคลินิกเพื่อนใจก็จะมีเจ้าหน้าที่ส่วนของ รพ.สต. อสม.และพยาบาลที่คอยสแตนด์บาย ช่วยกันเตรียมพร้อมหากมีผู้ป่วยหรือญาติที่เขาอยากจะพูดคุยถึงปัญหาต่างๆ
พอเราให้โอกาสเขาได้พูดได้ระบายจุดอ่อน หรือจุดปัญหา อย่างน้อยในวันที่เขาเครียด ไม่มีงาน ไม่มีเงิน ไม่มีข้าวกิน เราจะช่วยอะไรได้ไหม ท่านนายกก็ได้ซัพพอร์ตในส่วนนี้ ก็พอจะมีเครือข่าย ถ้าน้องไม่มีงานไม่มีเงินเราก็จะช่วย เพราะหลายคนพอมีเงินมีงานทำก็ไม่ว่างที่จะอยู่กับสภาพแวดล้อมเดิม ปัญหาในครอบครัวลดลงไป จิตใจดีขึ้น ก็ทำให้เขาหลุดออกมาจากโคจรเรื่องยาเสพติด

“เป้าหมายของเราเริ่มจากการสมัครใจที่อยากจะเลิกและก็จะเน้นย้ำว่าที่คุณต้องเสพยา เลิกไม่ได้ปัญหาของคุณคืออะไร ให้เขาพยายามบอกมาและเราก็จะพยายามช่วยเช่นกัน ถ้าบางปัญหาเราช่วยไม่ได้ เราก็จะแนะนำว่าควรปรึกษาใคร พูดง่ายๆคือเราไม่อยากให้จากผู้เสพกลายเป็นผู้ค้าหรือเกิดนักเสพหน้าใหม่ เราอยากให้เขาเห็นว่า ทุกคนพร้อมหยิบยื่นความเป็นพี่น้อง การช่วยเหลือเขา แล้วเราจะเดินไปด้วยกัน” นางใจแก้ว กล่าว
ด้านนายเอ (นามสมมุติ) เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการ กล่าวว่า ช่วงวัยรุ่นตอนเรียนมหาวิทยาลัยผมเริ่มใช้ยาบ้า ใช้เพื่อเล่นเกม เพื่อความบันเทิง ไม่ได้ต้องการใช้เพื่อการทำงาน ใช้ๆ หยุดๆ ไปบ้าง เริ่มมาใช้หนักๆประมาณ 5 ปีที่แล้ว อายุประมาณ 30 กว่าๆ โดยขอเงินพ่อแม่มาซื้อ และช่วงหลังๆได้มีงานทำบ้าง แต่ก็ต้องเปลี่ยนงานบ่อย คนในชุมชนมองเราเป็นคนไม่ดี เป็นคนขี้ยา ไม่มีใครอยากคุยด้วย ไม่มีเพื่อนที่จริงใจ มีแต่คนที่เข้ามาเพื่อหาผลประโยชน์จากเรื่องยากับเรา
เราเริ่มถูกกีดกันออกจากครอบครัว และออกไปอยู่กับเพื่อน ย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆจนหมดเพื่อนไม่รู้จะไปไหนแล้ว เพราะเราสร้างแต่ปัญหาให้เขา ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เราเริ่มคิดถึงการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ณ วินาทีนั้นเรามีความคิดว่าจะต้องทำยังไงให้ตัวเองกลับมาให้ได้ และมีโครงการหนองโสนโมเดลเข้ามาพอดี โครงการนี้ได้ดึงเราเข้ามาอยู่ในกลุ่มผู้กล้า ซึ่งก็จะอยู่ในสายตาของผู้นำชุมชน อสม. รพ.สต. และ อบต.
“วันที่เราคิดว่าหนักที่สุดในชีวิตเรา คือ วันที่แม้แต่คำว่าแม่ แม่ก็ไม่ต้องการจากเราแล้ว ให้เราออกไปอยู่ข้างนอก ซึ่งเราก็หมดหนทางไม่รู้ว่าจะไปไหน เราพูดอะไรไปไม่มีใครเชื่อ พอเราบอกจะเลิกก็ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครฟังเราเลย แม้แต่แม่ แม้แต่คนที่ใกล้ชิด แต่มีกลุ่มหนึ่งที่เขาเชื่อเรานั่นก็คือ กลุ่มผู้นำชุมชน ผู้บริหารเกี่ยวกับหนองโสนโมเดลทั้งหมด เขาเชื่อ เขาให้โอกาส ให้ทุกอย่างจริงๆ เขาจู่โจม แต่เป็นการจู่โจมเพื่อเอาข้อมูลในมือ เอาความหวังดีวิ่งหาเรา ไม่ได้จู่โจมเพื่อมาจับ แต่เพื่อมาทำความเข้าใจกับครอบครัวก่อน

มีครั้งหนึ่งเขาพาเราไปงานสัมมนา เราก็ไปแบบขัดไม่ได้ แต่พอวันจบการสัมมนา คุณหมอใจแก้ว ศิลปะศร ผอ.รพ.สต.หนองโสน หยิบเงินให้เรา 500 บาท โดยไม่ถามซักคำว่าจะเอาไปใช้จ่ายอะไร แค่บอกว่าเชื่อมั่นในตัวผม วันนั้นผมไม่มีเงินเลย ผมกล้าพูดว่านี่เป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนความคิด เพราะเราเหมือนขี้ยา ไม่มีใครเชื่อในตัวเราแล้วแม้แต่เงิน 10 บาท 20 บาท ก็ไม่มีใครเคยให้ มันทำให้เรารู้สึกมีคุณค่า” นายเอกล่าว
นายเอกล่าวอีกว่า เราคือผลผลิตของหนองโสนโมเดล และทุกอย่างก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ตอนนี้ผมก็ได้เข้ามาทำงานที่กองสาธารณสุข ของ อบต. ซึ่งเราก็อยู่ในสายตาของท่านนายก มีโอกาสไปทำงานจิตอาสามากขึ้น และทุกคนต่างพากันให้กำลังใจเรา ผมไม่กล้าคาดหวังให้ทุกคนเชื่อใจผมร้อยเปอร์เซ็น แต่ผมจะทำให้เต็มที่เต็มร้อย และสุดท้ายผมอยากจะฝากไปถึงคนที่ยังอยู่ในวังวนนี้ ว่า ให้ค่อยๆออกมาจากมัน แล้วคุณจะเห็นหนทางใหม่ของชีวิตเหมือนผม ลดเถอะครับ ไม่มากก็น้อย หันกลับมาให้คุณค่ากับตัวเอง และอยากให้ชุมชน คนใกล้ชิดต้องให้โอกาส
นางบี (นามสมมุติ) หนึ่งในผู้เสพที่เข้าร่วมโครงการอยู่ในช่วงลดละ กล่าวว่า ตนเองและเพื่อนเสพยาบ้าด้วยกันมานานหลายปี ตั้งแต่เริ่มเป็นวัยรุ่นใหม่ๆ เราทำงานหนักตั้งแต่อายุ 15 เจอเพื่อน เจอสิ่งแวดล้อมที่ชักจูงและยังมีปัญหาครอบครัวรุมเร้า ไม่มีใครคุยกับเรา ไม่มีใครเข้าใจ เลยหันไปพึ่งยา พอลองเสพแล้วรู้สึกโล่ง โปร่ง สบายก็เลยเสพเรื่อยมา เมื่อก่อนใช้กันวันละเกือบ 10 เม็ด แต่ทุกวันนี้เหลือวันละไม่กี่เม็ด บอกตรงๆว่ายังเลิกไม่ได้แต่เราลดลง เราจะใช้เฉพาะเวลาต้องทำงานถ้าอยู่บ้านเฉยๆก็ไม่ได้ใช้ยา เพราะเราทำงานหนัก ทั้งก่อสร้างทั้งรับจ้างทั่วไป เราเลยต้องพึ่งยาเพื่อกำลัง และที่ไม่หยุดเลยเพราะเราเสพมานาน ถ้าหักดิบเลยมันจะมีอาการชาตามตัว

“โครงการนี้ก็ทำให้เราเสพน้อยลง จุดเริ่มต้นที่เข้าโครงการนี้คือครอบครัวเห็นว่าดีเลยแนะนำ พอเข้าโครงการนี้ทุกอย่างดีขึ้น จากคนในบ้านที่ไม่เคยยิ้มให้กัน ทะเลาะกันทุกวัน จนตอนนี้ไม่ทะเลาะกันเลย แม่ก็ยิ้มได้ ทุกวันนี้ตั้งใจทำเพื่อแม่ และที่เข้ามาในโครงการนี้ได้ คือมีผู้ใหญ่มาที่บ้านให้คำแนะนำ ให้คำปรึกษาตลอด ไม่มีการจะจับหรืออะไร แต่เราก็ต้องพูดความจริง ให้ข้อมูลจริงด้วย จากที่ไม่เคยแก้ปัญหาอะไรได้เลยทุกอย่างรุมเร้า
ทุกวันนี้แก้ได้ทีละอย่าง เลยทำให้โล่งขึ้น สบายใจขึ้น มีความสุขขึ้น คนก็ทักว่าหน้าตาแจ่มใสขึ้นตลอด ตอนนี้ลดได้เรื่อยๆ ถ้าเลิกเลยแม่คงยิ้มได้กว่านี้อีก เราสองคนก็มีเป้าหมายตั้งใจจะทำให้แม่ เคยเข้าไปอยู่ในเรือนจำ 2 เดือน พอออกมาก็ได้เจอโครงการนี้ จนทำให้เรารู้ว่าการเข้าไปอยู่ข้างในมันเป็นยังไงมันลำบากแค่ไหน การออกมาแล้วทำให้แม่ยิ้มได้มันมีความสุขมาก ตอนนี้ที่บ้านมีแต่ความสุขไม่มีการทะเลาะอะไรกันเลย จากเมื่อก่อนทะเลาะกันทุกวัน ไม่ทำให้แม่เครียดเป็นอะไรที่ดีที่สุด” นางบี กล่าว
ด้านนายซี (นามสมมุติ) หนึ่งในผู้เข้าร่วมโครงการกล่าวว่า ตนเข้ามาในโครงการเพราะผู้นำชุมชนได้แนะนำว่ามีโครงการนี้ เขามาขอความร่วมมือผมก็ให้ความร่วมมือ ผมเสพยาบ้ามาตั้งแต่เด็กๆแล้ว เสพแต่ยาบ้าอย่างเดียวและเสพหนัก ถึงขั้นที่ว่าถ้าไม่ได้เสพจะกินข้าวไม่ได้ นอนไม่หลับ ที่บ้านรู้ว่าเสพยา เราประกอบอาชีพหลายอย่าง ทำงานได้ปกติแต่ก็เสพยาปกติเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าไม่เสพยาแล้วทำงานไม่ได้ สมองเสพติดการใช้ยาไปแล้ว ผมไม่เคย ลัก จี้ ชิง ปล้น ผมทำงานหาเงินเพื่อมาซื้อยาเสพเอง เคยมีอาการหลอนอยู่บ้างเพราะผมใช้ยามาเยอะและนาน มันสะสม ผมใช้ยามาตั้งแต่ม.2 จนตอนนี้ผมอายุ 42 เกือบจะ 30 ปีแล้ว
พอมาอยู่ในโครงการเหมือนกับว่าถ้าเราไปทำงานหรือไปทำอะไร แล้วเจอด่านโดนตรวจฉี่เราสามารถโทรหาโครงการได้ เขาสามารถมาช่วยเราได้เพราะว่าเราอยู่ในโครงการ ที่เราอยู่ในโครงการไม่ใช่ว่าเราจะเสพหนักขึ้น โครงการทำให้เราลดปริมาณลง เหมือนค่อยๆบีบให้เราเลิกไปในตัว เลิกได้เพราะว่าผมเบื่อ เราเห็นภาพซ้ำมาเยอะ น้องชายผมติดคุกตั้งแต่ลูกคนโตของเขายังไม่เกิด จนตอนนี้ลูกเขาอายุ 18 ปี แล้ว เขาก็ยังเข้าๆออกๆคุกอยู่ เลยทำให้รู้สึกอยากเลิก

ตอนเลิกแรกๆยากมาก พอไม่ได้เสพก็จะหงุดหงิดเจอใครก็หงุดหงิดไปหมด แต่มันก็อยู่ที่ใจของแต่ละคนเพราะว่าต้องค่อยๆลดปริมาณลงเรื่อยๆจนหยุดเสพ ตอนนี้ครอบครัวผมก็ยังไม่เชื่อว่าผมเลิกเสพยาแล้ว แต่พวกเขาก็เห็นว่าผมทำงานได้มาก็เอาเงินมาใช้ในชีวิตประจำวันไม่ได้เอาไปซื้อยา ผมเฉยๆไม่เคยลงแดง ผู้ใหญ่บ้านเป็นคนชวนเข้าโครงการเขามาขอความร่วมมือผมกับน้องสองคน ผมเข้าร่วมโครงการ แต่ตอนนี้น้องผมยังติดคุกอยู่ โครงการนี้ดี อย่างน้อยก็ช่วยให้ลดปริมาณลงเรื่อยๆ ทุกคนพร้อมที่จะช่วยอยู่แล้วทั้งผู้ใหญ่บ้าน กำนัน คนในชุมชน ทุกอย่างมันต้องมีจุดเริ่มต้น ค่อยๆลดปริมาณลงเรื่อยๆ