ธุรกิจน้ำเมา หวังแค่รายได้ ไม่สนผลกระทบ

“หมออุดมศักดิ์” ชี้งานวิจัยทั่วโลก ยืนยันชัด “ธุรกิจน้ำเมา” หวังแค่รายได้ ไม่สนมาตรการลดผลกระทบ ด้าน ครปอ. เร่งเดินหน้าแก้ไขกฎหมายเอาใจนายทุนน้ำเมา

“หมออุดมศักดิ์” ชี้งานวิจัยทั่วโลก ยืนยันชัด “ธุรกิจน้ำเมา” หวังแค่รายได้ ไม่สนมาตรการลดผลกระทบ “อ.คมสัน” ซัดการเมืองยุคนี้ทำเสื่อมแก้กฎหมายเอื้อนายทุน เมินข้อมูลผลกระทบสุขภาพ สั่งศึกษาทบทวนก็แค่พิธีกรรม ด้าน ครปอ. ปูด 4 มีค. ประชุมกรรมการนโยบายน้ำเมา เร่งเดินหน้าแก้ไขกฎหมายเอาใจนายทุนน้ำเมา ยังหวังที่ประชุมจะรอบคอบ เห็นหัวประชาชน

เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2568 ภาคีป้องกันและลดผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต เครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ และเครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพเยาวชน ร่วมกันจัดเสวนาเรื่อง “รัฐบาลเร่งปลดล็อกขายสุรา เพื่อผลประโยชน์ธุรกิจอยู่เหนือธรรมาภิบาล หรือไม่ ? แต่คนไทยหวั่นใจตายเจ็บเพิ่ม” พร้อมเปิดคลิปข่าว “ย้อนคดีน้องแก้ม ฆ่าข่มขืนเด็กหญิง 13 ทิ้งร่างจากรถไฟ” ที่ผลิตและเผยแพร่โดยเพจอีจัน เพื่อย้ำเตือนถึงความสูญเสียครั้งสำคัญ ณ โรงแรมแมนดาริน สามย่าน กรุงเทพ

รศ.ดร.นพ.อุดมศักดิ์ แซ่โง้ว สำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ กล่าวว่า การแทรกแซงนโยบายของภาครัฐของธุรกิจแอลกอฮอล์เป็นรับรู้กันโดยทั่วไปในวงการวิชาการด้านสุขภาพ อ้างอิงจากการทบทวนรายงาน 20 ฉบับทั่วโลก พบว่า ธุรกิจมุ่งรักษาผลประโยชน์ส่วนตนมากกว่าสนับสนุนมาตรการลดผลกระทบของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดย 1.ชี้นำสังคมไปยังปัญหาบางด้านเช่น ดื่มแล้วขับ การดื่มในเยาวชน ทำให้สังคมไม่ได้สนใจปัญหาอื่นเช่น ความรุนแรงในครอบครัว การก่อโรคทางกาย และสุขภาพจิต 2.เน้นเป็นความรับผิดชอบของคนดื่มมากกว่าผลกระทบของแอลกอฮอล์ในฐานะสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ทำให้เกิดการมองข้ามความรับผิดชอบของผู้ผลิตและผู้จำหน่าย 3.สนับสนุนมาตรการปัจเจก เช่นรณรงค์ให้ดื่มอย่างรับผิดชอบ แต่ไม่สนับสนุนนโยบายลดการบริโภค เช่น การจำกัดเวลา สถานที่จำหน่าย ควบคุมการตลาด 4. กลยุทธ์แทรกแซงนโยบาย เช่น เผยแพร่แนวคิดผ่านองค์กรการค้า การจัดองค์กรหน้าฉาก (ที่ให้ภาพเป็นกลาง) ใช้บริษัทที่ปรึกษาและสนับสนุนทุนไปยัง think tanks เพื่อทำรายงานที่สอดคล้องกับแนวคิดของธุรกิจ โดยใช้ข้อมูลจากงานวิจัยที่มีระเบียบวิธีไม่ซับซ้อน (งานวิจัยไม่ใช่งานวิจัยคุณภาพสูง) สร้างความสัมพันธ์กับผู้กำหนดนโยบายและนักการเมืองผ่านการสนับสนุนเงินและการให้ข้อมูลจากรายงานที่จัดทำโดยบริษัทที่ปรึกษาและ think tanks

รศ.ดร.นพ.อุดมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ส่วนลักษณะการเคลื่อนไหวในไทย จะแตกต่างกันตาม 3 กลุ่มหลักในตลาด คือ 1.ทุนใหญ่ในประเทศ มักเคลื่อนไหวทางสาธารณะน้อยเพราะชินชินกับการทำธุรกิจภายใต้กฎหมายเดิมและการเมืองไทย และข้อกฎหมายบางประการก็อาจเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มนี้ 2. ธุรกิจรายเล็ก จะเคลื่อนไหวทางสาธารณะมากกว่า มีความผูกพันกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง ต้องการแก้ไขกฎหมายเอื้อประโยชน์ต่อรายใหญ่ และ 3.ทุนใหญ่ข้ามชาติ ใช้วิธีการล็อบบี้ และมักทำงานร่วมกับธุรกิจในประเทศ ผลักดันนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อการขยายตลาด เช่น สนับสนุนมูลนิธิเพื่อขับเคลื่อนแคมเปญตามแนวทางของธุรกิจ การเรียกร้องผ่านองค์กรการค้า การสนับสนุนจากรัฐบาลของประเทศแม่ของทุนข้ามชาติ ร่วมกำหนดนโยบายผ่านการร่วมมือกับ think tanks ภายในประเทศ

“ลักษณะเช่นนี้ ตนมองว่า ทุนใหญ่ในประเทศ อาจพอใจกับสถานะปัจจุบันที่ยังคงรักษาความเป็นเจ้าตลาดอยู่ได้ ส่วนธุรกิจรายเล็ก ต้องการเติบโตโดยการผลักดันให้มีการยกเลิกหรือปรับแก้กฎเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรคต่อการ ขยายธุรกิจของตน ขณะที่ทุนใหญ่ข้ามชาติ ต้องการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดโดยสนับสนุนการลดข้อจำกัดด้านกฎหมาย การลดความเข้มข้นของกฎหมายควบคุม น่าจะเพิ่มการแข่งขันในตลาดซึ่งกระทบกับทุนใหญ่ในประเทศ แต่ก็ช่วยให้สามารถทำธุรกิจได้ง่ายขึ้นเช่นกัน

บทเรียนจากต่างประเทศพบว่า ในระยะยาวธุรกิจรายเล็กที่มีผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่น มักถูกเทคโอเวอร์โดยทุนใหญ่ นอกจากนี้ กำแพงภาษีที่สหรัฐฯ มีแนวโน้มจะเก็บกับประเทศตะวันตกจะมีผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ด้วยและอาจเป็นเหตุให้ต้องขยายตลาดไปยังประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งตนอยากให้มองว่าปัจจุบันตัวเองสามารถเห็นร้านเหล้า หรือซื้อได้ง่ายหรือไม่ ก็จะตอบได้ว่ามาตรการที่มีอยู่ในตอนนี้แย่จนต้องแก้ไขยกเลิก หรือเป็นการควบคุมในระดับที่เหมาะสมพอประมาณอยู่แล้ว” รศ.ดร.นพ.อุดมศักดิ์ กล่าว

ด้าน อาจารย์คมสัน โพธิ์คง นักกฎหมายมหาชน กล่าวว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์แม้จะมีการดื่มอย่างแพร่หลายทั่วโลกก็ตาม แต่สภาพความเป็นจริงและการศึกษาทั้งหลายยืนยันว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ดื่ม ทำให้เกิดโรคร้ายแรง และยังขาดสติก่อเหตุกระทบกับผู้ที่ไม่ได้ดื่ม เช่น อุบัติเหตุ อาชญากรรม

ดังนั้นกฎหมายนี้จึงออกมาเพื่อควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพราะถือว่าไม่ใช้สินค้าที่ปลอดภัยนัก แต่ในทางปฏิบัติอาจมีปัญหาการบังคับใช้กฎหมายเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ ต้องใช้คนจากหลายหน่วยงานจึงทำให้บังคับใช้กฎหมายไม่เต็มประสิทธิภาพ เพราะกลุ่มผู้ขายมีการสร้างสัมพันธ์อันดีกับหน่วยงานของรัฐ

นอกจากนี้ยังพบความพยายามหาช่องว่างเลี่ยงกฎหมาย บางครั้งก็ยอมทำผิดแบบดื้อๆ เพราะโทษไม่หนัก ขณะที่คนดื่มก็มองการฝ่าฝืนกฎหมายเป็นเรื่องปกติ อ้างดื่มเพื่อเข้าสังคม สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความวุ่นวายในการบังคับใช้กฎหมายพอสมควร

อาจารย์คมสัน กล่าวต่อว่า สำหรับการแก้กฎหมายครั้งนี้ที่มีความพยายามทำให้การควบคุมอ่อนลง ก็ต้องบอกว่าเป็นปัญหาของนักการเมือง สส.บางส่วนมีการประกอบกิจการที่เกี่ยวข้อง กับการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาทิ ร้านอาหาร ร้านเหล้า ซึ่งธุรกิจแอลกอฮอล์ก็พยายามเข้าไปอยู่ข้างหลังบรรดาสส.เหล่านี้ เพื่อแก้กฎหมายให้มีความสะดวกในการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้มากขึ้น โดยไม่คำนึงถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับสังคม จึงพยายามที่จะลดโทนในการบังคับใช้กฎหมายไปเรื่อยๆ บางเรื่องพยายามจะตัดออกให้ได้

ดังนั้นในแง่หลักการกฎหมายที่จะทำขึ้นใหม่ จะเป็นการเอื้อผู้ประกอบการมากขึ้น ข้ออ้าง ว่าจะทำให้เกิดรายได้มหาศาลนั้นแต่ กลับไม่เคยเอามาเปรียบเทียบกับเงินที่รัฐจะต้องจ่ายในการดูแลรักษาผู้เจ็บป่วย ได้รับผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เลย ถึงจะมีตัวเลขผลกระทบออกมาชัดเจนแต่รัฐก็ไม่มอง มองแต่ผลประโยชน์ทางธุรกิจ ส่วนภาพการมอบหมายไปศึกษา ผลดีผลเสียก่อนนั้นเป็นเพียงพิธีกรรม พูดเพื่อให้เรื่องเงียบ แต่ในใจลึกๆ ก็หาช่องที่จะเอาเรื่องนั้นให้ได้ นอกจากจะมีผลการศึกษาออกมาแล้วมันเดินไปไม่ได้แล้วจริงๆ พวกนี้ถึงจะยอมหยุด

“สังเกตไหมว่าปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะบรรดากลุ่มธุรกิจสามารถเข้าไปแทรกแซง นักการเมืองได้ สามารถใช้ประโยชน์จากพวกนี้ได้ การอ้างประชาธิปไตยเป็นของประชาชน อ้างว่าประชาชนต้องการแบบนี้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่า ประชาชนต้องการจริงไหม หรือแค่ประชาชนคนไหนที่ต้องการเรื่องแบบนี้ แต่คนที่ได้รับผลกระทบเขาไม่เอา พวกนี้ไม่เคยเข้าถึงจิตใจคนที่ได้รับผลกระทบเลย เพราะฉะนั้นขอให้รัฐบาลหยุดลการส่งเสริมการดื่มแอลกอฮอล์ กลับสู่จุดเดิมคือการควบคุมที่เหมาะสม กำกับให้มีการบริโภคแบบไม่ให้เกิดปัญหาต่อสังคมโดยรวม ไม่เป็นภาระกับรัฐ” ผศ.ดร.คมสัน กล่าว

ด้านนายชูวิทย์ จันทรส ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ กล่าวว่า ตนทราบมาว่าในวันพรุ่งนี้ คือ 4 มีนาคม 2568 จะมีการประชุมกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เพื่อเดินหน้าให้มีการแก้ไขอนุบัญญัติ ตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ให้เป็นไปตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี นางสาวแพรทองธาร ชินวัตร ในการให้ศึกษาการปลดล็อคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น ยกเลิกการห้ามขายวันพระใหญ่ ยกเลิกเวลาห้ามขายช่วง 14.00-17.00 น. และยกเลิกการห้ามขายออนไลน์ เป็นต้น

ซึ่งเป็นเรื่องที่ธุรกิจแอลกอฮอล์ ร้านเหล้าผับบาร์ เสนอต่อรัฐบาลมาตลอด เครือข่ายเห็นถึงความรีบเร่งและขาดความรอบคอบ เป็นการเอาใจกลุ่มธุรกิจมากเกินไป ต่างจากในอดีตที่เครือข่ายไปขอเข้าพบ ขอยื่นข้อเสนอ เราก็ไม่เคยได้เข้าถึงในทำเนียบรัฐบาล มีเพียงตัวแทนมารับเรื่องที่ศูนย์บริการประชาชน แต่พอเป็นกลุ่มธุรกิจรัฐบาลกลับเปิดทำเนียบให้เข้าไปพบปะหารือ ดูแลเป็นอย่างดี

หนำซ้ำในวันรุ่งขึ้นนายกก็มีการแถลงข่าวรับลูก และสั่งการอย่างรวดเร็ว ต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับเครือข่ายที่ทำงานอยู่กับความเป็นความตาย ความเจ็บป่วยของคน มิได้มีประโยชน์ใดๆแอบแฝง ก็ได้แต่หวังว่าในการประชุมของกรรมการนโยบายฯพรุ่งนี้ จะมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ เป็นธรรม ไม่เอาใจธุรกิจจนหลงลืมความสูญเสีย ความเจ็บป่วย ความตายของประชาชน และต้องไม่ลืมว่าข้อสั่งการให้มีการศึกษานะ ไม่ใช่ให้แก้ทุกอย่างเพื่อเอาใจนายทุน นักธุรกิจ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *